จ้างไม่ลด! คนอเมริกันมีงานทำพุ่งกว่า 500,000 ในเดือนเดียว ว่างงานต่ำสุดใน 53 ปี
กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐอเมริกาประจำเดือนมกราคม 2023 ได้สร้างความประหลาดใจและเหนือความคาดหมายอย่างมาก โดยมีตัวเลขจ้างงานพุ่งทะยานสูงถึง 517,000 คน ไม่เพียงสูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 187,000 คน แต่ยังพุ่งสูงกว่า 2 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 2 เท่าจากตัวเลขจ้างงานในเดือนธันวาคม 2022 ที่ 260,000 คน อีกด้วย ที่สำคัญ จำนวนแรงงานเพิ่มขึ้น 517,000 คน ทำสถิติเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 เดือน และยังส่งผลให้ทำสถิติสูงกว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรเฉลี่ยรายเดือนในปี 2022 ที่ 410,000 คน
ขณะที่อัตราการว่างงานเดือนมกราคมร่วงลงแตะระดับ 3.4% ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 53 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกามีสถิติอัตราว่างงานต่ำสุดถึง 3.1% ในปี 1953 หรือเมื่อ 70 ปีผ่านมา
สำหรับจำนวนแรงงานนอกภาคการเกษตรในเดือนมกราคมที่พุ่งสูงขึ้นเกินคาดหมายนั้น พบว่า ภาคบริการสำคัญ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 128,000 คน ในจำนวนดังกล่าวมี 99,000 คนจ้างงานในธุรกิจร้านอาหาร และสถานบันเทิงกลางคืน อย่างไรก็ตาม จำนวนจ้างงานกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวอยู่ที่ 495,000 คน ซึ่งยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19
ขณะที่ การจ้างงานในกลุ่มธุรกิจบริการ และแรงงานมืออาชีพในสายงานเฉพาะทาง เพิ่มขึ้น 82,000 คน ภาคราชการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น 74,000 คน ภาคการก่อสร้างจ้างงานเพิ่มขึ้น 25,000 คน และการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้น 19,000 คน
ด้านอัตราค่าจ้างแรงงานรายชั่วโมงเดือนมกราคม พบว่า เพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนธันวาคม 2022 ที่เพิ่ม 0.4% อัตราเฉลี่ยค่าจ้างดังกล่าวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในปี 2022 ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ยังเปิดเผยต่อไปว่า ในปี 2022 ผ่านไปนั้น เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 4.8 ล้านคน ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านคน
ทั้งนี้ ในปีผ่านไป ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาหรือเฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นสูงสุดในรอบ 15 ปี เพื่อหวังแก้ปัญหาเงินเฟ้อสูงในรอบ 4 ทศวรรษ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอย อย่างไรก็ตาม ภาวะการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่เฟดให้น้ำหนักกับการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น กลับยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง จึงกลายเป็นแรงกดดันตามที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะส่งผลให้เฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นต่อเนื่อง จนทำให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอยู่ในระดับสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
