ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทรุดแรงกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงหลุด 94 ดอลลาร์

252
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดทรุดแรงกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงหลุด 94 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,963 จุด -106 จุด หรือ -0.31% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,320 จุด -9 จุด หรือ -0.23% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 13,211 จุด -12 จุด หรือ -0.09% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -1.9%, -2.9% และ -3.6% ตามลำดับ ทำสถิติดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังเป็นดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ที่ร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน

สาเหตุจากนักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นกับแนวโน้มการเกิดภาวะรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถปฏิบัติงานได้ หรือ Government Shutdown สาเหตุจากปัญหางบประมาณใช้จ่ายไม่พอ ในเวลาเดียวกัน หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา นายเจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณชัดเจนว่า เฟดยังคงต้องขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 1 ครั้งก่อนถึงสิ้นปีนี้ที่สำคัญ เฟดจะต้องใช้นโยบายการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นตึงตัวตลอดปีหน้า หรือปี 2024 ในขณะที่ผลการประชุมดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด เป็นไปตามคาดหมายด้วยการตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมปี 2022 เป็นการหยุดสถิติการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวติดต่อกันถึง 11 ครั้ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจึงตัดสินใจขายหุ้นทุกกลุ่มโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างหนาตา

ปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นสูงถึง 105.78 ไม่เพียงเป็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นถึง 0.14% แข็งค่าขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน แต่ยังทำสถิติค่าเงินดอลลาร์สหรัฐสูงสุดในรอบ 6 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคมเป็นต้ตมา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งอายุ 2 ปี และ 10 ปี พุ่งขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันขึ้นแตะระดับ 5.202% และ 4.494% ตามลำดับ ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2007 และในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่กรกฎาคมปี 2006 ตามลำดับ สะท้อนถึงภาวะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 41% จากเดิมที่โอกาสตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ 50%

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 90.03 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลหยุดราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 3 วันติดต่อกันรวม -1.23 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 93.27 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.03 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 4 วันติดต่อกันรวม -1.16 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล กลายเป็นราคาน้ำมันปิดต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ผ่านมาต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หรือตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสถิติราคาน้ำมันดิบใกล้เคียงระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2022

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งปิดลดลง -0.03% และ -0.3% ตามลำดับ นับเป็นสัปดาห์แรกที่มีราคาลดลงใน 4 สัปดาห์ผ่านมา

สาเหตุจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นครั้งแรกในการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวต่อเนื่อง 11 ครั้งผ่านมา ส่งผลอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวทรงตัวในระดับสูงกว่า 22 ปี ระหว่าง 5.25% – 5.50% อย่างไรก็ตาม เฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวอีก 1 ครั้งในสิ้นปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะขึ้นไปถึงระหว่าง 5.50% – 5.75%

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนขายเพื่อทำกำไรในช่วงสั้นๆ หลังจากราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในช่วง 3 วันติดต่อกันก่อนหน้านี้ นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดน้ำมันดิบตึงตัว หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยรายงานสถานการณ์น้ำมันดิบประจำเดือน พบว่า ประเมินความต้องการบริโภคน้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกวันละ 2.24 ล้านบาร์เรลในปีนี้ ในขณะที่ประเมินปีหน้า 2024 ทั้งความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรล และปริมานการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากประเมินสัญญาณฟื้นตัวของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่

อีไอเอ ยังคาดการณ์ต่อไปว่า สต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกจะลดลงถึงเกือบ 500,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ส่งผลให้ประเมินราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ จะมีราคาเฉลี่ยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ สูงถึง 93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่อง โดยลดผลิตลงวันละ 1 ล้านบาร์เรลอีก 3 เดือน มีผลตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2023 สอดคลัองกับรัฐบาลประเทศรัสเซียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่อง โดยลดผลิตลงวันละ 300,000 บาร์เรลอีก 3 เดือน มีผลตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2023 เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสจะลดลงถึงวันละ 1.3 ล้านบาร์เรลนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2023

การประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก และรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบนอกกลุ่มโอเปกที่มากที่สุดในโลก รวมกันวันละ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อไปอีก 3 เดือน กลายเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของตลาดพลังงานโลก เนื่องจากเดิมคาดการณ์ว่าทั้ง 2 ประเทศจะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบถึงเดือนตุลาคมเท่านั้น

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,919.78 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +5.43 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.3% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,945.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +6.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.3%

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกร่วงลงจากที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งอายุ 2 และ 10 ปี ที่ปรับลดลงหลังจากพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2007 และในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่กรกฎาคมปี 2006 ตามลำดับเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน สะท้อนถึงภาวะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง