ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดพุ่งเกือบ 190 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงระนาวเหลือกว่า 67 ดอลลาร์

148
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดพุ่งเกือบ 190 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงระนาวเหลือกว่า 67 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 34,066 จุด +189 จุด หรือ +0.56% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,338 จุด +40 จุด หรือ +0.93% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 13,461 จุด +202 จุด หรือ +1.53% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดสูงสุดในรอบ 1 ปี 1 เดือนกว่า หรือตั้งแต่เมษายน 2022 และปิดเหนือระดับ 4,300 จุดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดขึ้น +0.34%, +0.39% และ +0.14% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และนาสแดค ปิดบวกเป็นสัปดาห์ที่ 4 และ 7 ติดต่อกัน

สาเหตุจากนักลงทุนมองมุมบวกกับการประเมินแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจจะเริ่มตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมวันที่ 13-14 มิถุนายนนี้ นักลงทุนรอการแถลงตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมที่จะประกาศในคืนวันนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะลดลงต่อเนื่อง โดยประเมินว่าอาจเพิ่มขึ้นเพียง 0.4% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน และเพื่มขึ้นที่ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา

ขณะที่ตัวชี้วัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอีเฟดวอทช์ ทูล พบว่า มีโอกาส 76% ที่เฟดจะตรึงดอกเบี้ยที่เดิมระหว่าง 5.00-5.25% และมีโอกาส 71% ที่เฟดจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวในการประชุมเดือนกรกฎาคม

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 67.12 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -3.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -4.4% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 3 วันติดต่อกันรวม 5.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ผ่านไปลดลง -2%

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 71.84 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.9% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 3 วันติดต่อกันรวม -5.11 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ผ่านไปลดลง -1.6%

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ได้ปรับลดเป้าหมายราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ในช่วงสิ้นปีนี้ลงถึงบาร์เรลละ 9 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะมีราคาเฉลี่ยที่ 95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 86 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

การปรับลดเป้าหมายราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยดังกล่าวของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนผ่านมา ซึ่งเคยคาดการณ์ราคาเฉลี่ยสูงสุดกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สำหนับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ เฉลี่ยทั้งปีนี้เดิมเคยประเมินไว้ที่ 88 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลงมาเหลือที่ 82 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่วนในปี 2024 คาดการณ์ว่า เดิมเคยประเมินไว้ที่ 99 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลงมาเหลือที่ 91 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้ต้องลดเป้าหมายราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของแหล่งเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ เป็นผลมาจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากประเทศที่ถูกมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตก เช่น รัสเซีย อิหร่าน และเวเนซุเอลา โดยเฉพาะรัสเซียเร่งเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบใกล้เคียงกับระดับผลิตสูงสุดท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรจากโลกตะวันตกยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,957.64 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -3.66 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.14% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,969.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -6.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.4% ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาทองคำตลาดโลกปรับขึ้น +0.7%

ก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นจากระดับอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี กลับเพิ่มขึ้น

ขณะนี้ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 76% มากกว่าก่อนหน้านี้ที่ระดับ 74%