ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดร่วงเฉียด 140 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 91 ดอลลาร์

200
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดร่วงเฉียด 140 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 91 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 30,822 จุด -139 จุด หรือ -0.45% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,873 จุด -28 จุด หรือ -0.72% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,448 จุด -103 จุด หรือ -0.90% ทำให้เป็นดัชนีหุ้นปิดต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หรือนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ที่สำคัญ ยังส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และนาสแดครายสัปดาห์ปิดทำสถิติย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน หรือในรอบ 2 เดือนกว่า นอกจากนี้ ยังเป็นสัปดาห์ที่ 4 ที่ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิดลดลงจาก 5 สัปดาห์ ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ร่วงลง -4.1%, -4.8% และ -5.5%

สาเหตุจากผลประกอบการของบริษัทเฟดเด็กซ์ ยักษ์ธุรกิจขนส่งพัสดุภัณฑ์ระดับโลก ออกมาย่ำแย่กว่าที่คาดไว้ ถึงขั้นยกเลิกการประกาศแนวโน้มผลประกอบการ ส่งผลราคาหุ้นดำดิ่งหนักกว่า 21% ด้านซีอีโอเฟดเอ็กซ์เตือนว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะมีต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนี้ พร้อมแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานเดือนสิงหาคมที่ประกาศไปเมื่อ 2 วันผ่านมา ยังคงเป็นปัจจัยลบต่อบรรยากาศการลงทุนตลอดเวลา และนำไปสู่การตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงขึ้นถึง 0.75% ในวันที่ 20-21 กันยายน

ขณะที่ ตัวชี้วัดโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอี เฟดวอท์ช พบว่า ขณะนี้มีโอกาสเต็ม 100% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% จากก่อนหน้านี้ที่มีโอกาส 90% นอกจากนี้ โอกาสขึ้นเป็น 32% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 1.00% ในการประชุมวันที่ 20-21 กันยายนนี้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 85.11 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 8 วันผ่านมา ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 91.35 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.51 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งร่วงลงเกือบ 2% สำหรับไตรมาสที่ 3 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ทั้งราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ และไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา ดำดิ่งมากถึง 20% ทำสถิติราคาน้ำมันดิบรายไตรมาสที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 2 ปีกว่า หรือนับตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาดของโรคโควิด-19

สาเหตุจากไอเอ็มเอฟเปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในบางประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2023 แต่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินได้ชัดเจนว่าจะกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย นอกจากนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก เปิดเผยว่า มีความกังวลชัดเจนว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกหยุดนิ่งด้วยเงินเฟ้อสูง หรือ Stagflation ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับทุกสกุล พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่าความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกจะลดต่ำลงในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,682.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +9.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.3% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ราคาทองคำล่วงหน้าดำดิ่งลงปิดต่ำกว่า 1,680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มทรงตัว และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นรับตัวเลขเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมในสหรัฐอเมริกาที่พุ่งสูงเกินคาดหมาย ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้นกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในวันที่ 20-21 กันยายนนี้