ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดำดิ่งส่งท้ายสัปดาห์นี้ ทุบดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทรุดแรงกว่า 470 จุด

28
0
Share:
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดำดิ่งส่งท้ายสัปดาห์นี้ ทุบดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดทรุดแรงกว่า 470 จุด

ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 38,983 จุด -475 จุด หรือ -1.24% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,123 จุด -75 จุด หรือ -1.46% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,175 จุด -267 จุด หรือ -1.62% ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -2.37%, -1.56% และ -0.45% ตามลำดับ

สาเหตุจากสถานการณ์ความตึงเครียดรุนแรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน นักลงทุนยังคงมีความกังวลกับโอกาสการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐในปีนี้ หลังจากอัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตทั่วไปและขั้นพื้นฐานเดือนมีนาคมในสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับเป้าหมาย ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดจำนวนครั้งการลดดอกเบี้ยจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง และคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกล่าช้าออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมคาดว่าจะลดในเดือนมิถุนายนไปเป็นเดือนกรกฎาคม

ผู้ว่าการเฟด สาขามินนาโพลิส นายนีล แคชคารี่ กล่าวว่าถ้าหากความคืบหน้าของอัตราเงินเฟ้อที่ทยอยลดลงนั้น กลับไม่มีสัญญาณที่ดีอย่างที่คิดไว้ การลดดอกเบี้ยระยะสั้นอาจจะไม่จำเป็นในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่งขยายตัวได้ท่ามกลางดอกเบี้ยในระดับสูง ขณะที่ประธานเฟดยืนยันต้องมีข้อมูลที่เชื่อใจได้ว่าเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องจริง ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า อาจมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ ท่ามกลางมุมมองในตลาดทุนที่ประเมินว่าจะลดถึง 3 ครั้ง

ด้านตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสเริ่มปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ของเฟดในการประชุมเดือนมิถุนายน ปี 2024 อยู่ที่ 62.3% จากเดิมที่ระดับ 70%

ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ