ถล่มทิ้งเงินบิทคอยน์ร่วงเกือบหลุด 34,000 ดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

433
0
Share:
บิทคอยน์

ตลาดซื้อขายเงินดิจิทัลในเอเชียที่ฮ่องกง รายงานว่า ค่าเงินบิทคอยน์ถูกเทขายอย่างหนักต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ โดยมีราคาฉุดค่าหลุดะดับ 34,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,156,000 บาทต่อบิทคอยน์ มาปิดที่ 33,650 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,144,100 บาทต่อบิทคอยน์ ดิ่งหนัก -3,105.90 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 105,590 บาท หรือดิ่งหนัก -7.4% ส่งผลให้ค่าเงินบิทคอยน์ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2564 และยังตกต่ำมากกว่า 55% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่มีราคาเกือบ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,346,000 บาท

นอกจากนี้ เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผ่านไป มูลค่าตลาดเงินบิทคอยน์ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 1 ของตลาดเงินคริปโตเคอร์เรนซี เสียหายไปถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 34 ล้านล้านบาทในช่วงเกือบ 2 เดือนผ่านมา ทั้งนี้นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งบิทคอยน์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,346,000 บาทต่อบิทคอยน์นั้น มูลค่าตลาดเงินบิทคอยน์หดหายไปกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20.4 ล้านล้านบาท

ด้านค่าเงินอีเธอร์ Ether ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่อันดับ 2 รองจากบิทคอยน์ ถูกเทขายต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยร่วงลงมาหลุดระดับ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 78,200 บาทต่อเหรียญอีเธอร์ มาปิดที่ระดับ 2,253 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 76,602 บาทต่อเหรียญอีเธอร์ ร่วงลงมากถึง 288 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 9,792 บาทต่อเหรียญอีเธอร์ ลดลง -11% ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 6 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา

สาเหตุจากสถานการณ์ความตึงเครียดในประเทศยูเครนกับรัสเซีย ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเตือนพลเรือน และเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในยูเครนให้รีบเดินทางออกจากยูเครน รวมถึงสั่งเตรียมใช้กำลังทหารจำนวนมากให้พร้อมปฏิบัติการสำคัญกับสถานการณ์ยูเครน รวมถึงสหราชอาณาจักรประกาศให้พลเรือน และเจ้าหน้าที่สถานทูตสหราชอาณาจักรออกจากประเทศยูเครน

ปัจจัยต่อมา คือ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเตรียมนำเสนอร่างประกาศคำสั่งบริหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการให้อำนาจในการกำกับและดูแลตลาดสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโจ ไบเดน จะเป็นผู้ลงนามประกาศบังคับใช้เร็วๆนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีเนื้อหาการควบคุมตลาดสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

คอยน์กลาส ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลทฟอร์มการซื้อขายเงินดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าใน 24 ชั่วโมงผ่านมา เทรดเดอร์จำนวน 239,000 ราย ทำการขายธุรกรรมซื้อขายเงินดิจิทัลรวมเป็นมูลค่า 874 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 29,716 ล้านบาทในวันเดียว

นอกจากนี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทั้งสัปดาห์นี้ยังคงเต็มไปด้วยแรงเทขายหนักต่อเนื่องข้ามสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดเงินคริปโตเคอร์เรนซี่อย่างรุนแรงไปด้วย เนื่องจากปัจจัยความกังวลอย่างมาก เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2564 พบว่าคณะกรรมการเห็นตรงกันที่จะลดปริมาณงบดุลบัญชี หรือ Balance Sheet ของเฟดหลังจากการเร่งลดมาตรการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลในระบบการเงินสหรัฐที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นอกจากนี้ การลดงบดุลดังกล่าว ส่งสัญญาณถึงการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเร็วขึ้นจากที่คาดการณ์กันไว้ นักลงทุนไม่ได้คาดหวังที่จะเห็นการเร่งลดปริมาณงบดุลบัญชีของเฟดมาก่อน

นอกจากนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี จะเพิ่มสูงขึ้นแตะกว่า 1.9% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ ประเทศคาซัคสถานซึ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลางกำลังเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอย่างรุนแรง จากการประท้วงของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งทำให้มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลคาซัคสถานปิดบริการอินเตอร์เน็ตทั้งประเทศ กระทบต่อเหมืองขุดเหรียญบิทคอยน์ ทั้งนี้ เอเชียกลางมีสัดส่วนมากถึง 18% ของพลังไฟฟ้าที่ใช้เป็นเครือข่ายในการขุดเงินดิจิทัล การปิดระบบอินเตอร์เน็ตในประเทศคาซัคสถาน ทำให้เกิดผลกระทบต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกว่า 15%

สำหรับในปี 2564 ที่ผ่านไปนั้น เป็นอีกปีที่คึกคักของตลาดเงินดิจิทัลโดยเฉพาะเงินบิทคอยน์ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 60% ในปีที่ผ่านไป นอกจากนี้ ยังเป็นปีที่มีค่าเงินบิทคอยน์สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับเกือบ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2564 ส่งผลให้นับตั้งแต่มีค่าเงินบิทคอยน์เกิดขึ้นในโลก หรือในปี 2016 ค่าเงินบิทคอยน์มีผลตอบแทนพุ่งก้าวกระโดดถึง 4,700% ในช่วง 5 ปีผ่านมา หรือเฉลี่ยปีละ 940% หรือเฉลี่ยเดือนละ 78%