ถอย-รอ-ไม่รีบ! ไนท์แฟรงค์เผยปี 64 ที่ดินพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมไทยหมดทางฟื้น ต่างชาติระงับลงทุนใหม่ทั้งหมด

306
0
Share:

นายมาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายตัวแทนนายหน้า บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชื่อดังระดับโลกด้านธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า การประกาศมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ และข้อจำกัดต่างๆที่ยกระดับความเข้มข้น ส่งผลโดยตรงต่อการยกเลิกและเลื่อนโครงการการลงทุนจากต่างประเทศ ท่ามกลางรัฐบาลไทยจะมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ

สาเหตุตากภาคการผลิตของไทยตกค่ำลงมากในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม อาจมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 79.52 จุดในเดือนพฤษภาคม โดยการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังสะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ดีขึ้นและมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอนั้น ปรากฏว่ามีปริมาณลดลงเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้ว โดยลดลง 19.2% ปีต่อปี มูลค่ารวมอยู่ที่ 361,000 ล้านบาท

ด้านจำนวนโรงงานเปิดใหม่ในประเทศไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง พบว่าลดลงไป 17% เมื่อเปรียบเทียบจากปี 2562 นอกจากนี้ จำนวนโรงงานที่ขยายกิจการลดลง 39% เหลืออยู่ที่ 690 แห่ง ในทางกลับกัน จำนวนโรงงานหยุดกิจการก็ลดลง 58% มีจำนวนอยู่ที่ 716 แห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าขนาดของตลาดโรงงานยังค่อนข้างคงที่ เนื่องจากกิจกรรมที่มีอย่างจำกัด ทั้งการขยายตัวและการหดตัว

สำหรับที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมในปี 2563 สรุปที่ดินพร้อมขายหรือให้เช่าอยู่เฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรมและเขตอุตสาหกรรม มีการเติบโตขึ้น 3% หรือประมาณ 4,693 ไร่

ขณะที่ดีมานด์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและบรรยากาศการลงทุนในประเทศและในทั่วโลกที่อึมครึมและยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ในปี 63 มีจำนวนที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมเพียง 1,645 ไร่ โดยสามารถขายหรือปล่อยเช่าปรับลดลง 29% จากปี 2562

หากเปรียบเทียบกับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การขายหรือให้เช่าที่ดินอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 2,427 ไร่ต่อปี โดยเขตอีสเทิร์นซีบอร์ดยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของดีมานด์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด ซึ่งในปี 63 มีการขายหรือเช่าที่ดินจำนวน 1,227 ไร่ คิดเป็น 75% ของการทำธุรกรรมในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการทำธุรกรรมรวมก็ลดลงไป 30% ช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยมีการขายหรือเช่าที่ดินเพียง 418 ไร่ หากไม่รวมเขต EEC นอกจากนี้ ที่ต่างไปจากปกติคือเขตภาคเหนือที่มีการทำธุรกรรมด้านที่ดินค่อนข้างมาก โดยมีการขายหรือเช่ามากถึง 202 ไร่

ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันยังชะลอตัวและการทำธุรกรรมต่างๆ ค่อนข้างซบเซา แต่ราคาขายเฉลี่ยสำหรับที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาขายเฉลี่ยของตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 ล้านบาทต่อไร่ เพิ่มขึ้น 5% หากเปรียบเทียบกับการเพิ่มขึ้นต่อปีในช่วง 5 ปี ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4% เขตอีสเทิร์นซีบอร์ดเป็นพื้นที่ที่ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 6 ล้านบาทต่อไร่ ขณะที่ราคาขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเขตภาคกลางก็เติบโตสูงขึ้นเช่นกัน โดยราคาขายทั้ง 2 พื้นที่เพิ่มขึ้น 5% และ 4% อยู่ที่ 9.4 ล้านบาท และ 4.8 ล้านบาทตามลำดับ
.