ทีทีบี ประเมินดุลบัญชีเดินสะพัดไทยปี 2566 มีโอกาสพลิกเกินดุล 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

260
0
Share:
ทีทีบี ประเมิน ดุลบัญชีเดินสะพัด ไทยปี 2566 มีโอกาสพลิกเกินดุล 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า ในปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มกลับมาเกินดุลราว 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.7% ต่อจีดีพี จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ดีกว่าที่คาดไว้ รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่เร็วกว่าที่ประเมิน ขณะเดียวกับที่เงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างชาติก็ไหลเข้าตลาดการเงินไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี โดย ณ สิ้นปี 2566 คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.0-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป ตลาดการเงินไทยยังเผชิญกับความผันผวนมากขึ้นจากแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการแข็งค่าของเงินบาท ท่ามกลางสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง

ขณะที่การส่งออกไทยเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ โดยประเมินว่ามูลค่าการส่งออกปี 2566 ในรูปของฐานระบบศุลกากรจะขยายตัว 0.5% (ช่วงประมาณการ 0-1%) ต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานที่สูงขึ้นในปี 2565 ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักเริ่มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และยุโรปซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันสูงกว่า 25.9% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด อีกทั้งห่วงโซ่การผลิตในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมขั้นต้นและกลางของไทยที่ส่งออกไปตลาดจีนก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากคำสั่งซื้อที่ลดลง

ในส่วนของดุลบริการ คาดว่า มีแนวโน้มดีขึ้นจากรายรับด้านการบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศที่เร็วกว่าคาด ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 เป็น 29.5 ล้านคนในปี 2566 ขณะที่รายจ่ายการบริการก็มีแนวโน้มลดลงตามต้นทุนค่าระวางขนส่งสินค้าทางเรือในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ ทำให้ ttb analytics ประเมินว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 จะพลิกกลับมาเกินดุลราว 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.7% ต่อจีดีพี ซึ่งเป็นการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกหลังจากขาดดุลต่อเนื่องในปี 2564-2565 ที่ราว 1.1 และ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

สำหรับตลาดเงินปี 2566 ตลาดเริ่มกลับมาส่งสัญญาณเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่วนใหญ่กลับมาเป็นปกติ อัตราเงินเฟ้อในประเทศหลักผ่อนคลายขึ้น อานิสงส์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกที่คลายมาตรการล็อกดาวน์ของจีน รวมถึงภาวะอุปทานตึงตัวคลี่คลายลง แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะประเด็นสงคราม ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมไปถึงการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

ขณะที่ไทยมีเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้สะสมสุทธิตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2565 – 31 มกราคม 2566 สูงถึง 6.3 หมื่นล้านบาท กดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 10 ปีของไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 โอกาสทำกำไรในตลาดหุ้นไทยจากเงินบาทที่แข็งค่า (FX-gain) ส่งผลให้ราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของ SET Index ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 สูงถึง 16.1 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์เอเชียที่ระดับ 12.2 เท่า

ดังนั้น ttb analytics จึงประเมินว่า นักลงทุนยังคงกล้าเสี่ยงซื้อขายในตลาดในระดับราคาต่อหุ้น (P/E) ที่แพงขึ้น เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมถึงไทยที่ล่าช้า (Backload) กว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้น่าจะเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าตลาดเพิ่มเติม หนุนค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2566 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่าราว 32.0-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นและเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ทั้งปีนี้ตลาดการเงินไทยมีความผันผวนมากขึ้น