ธนาคารโลกเผยคนไทยยังอยู่ในภาวะความยากจนถึง 6.7 ล้านคน

1495
0
Share:

นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงานความยากจนและความเหลื่อมล้ำของไทยจากสถิติอย่างเป็นทางการของภาครัฐ พบว่า ระหว่างปี 2558 – 2561 อัตราความยากจนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 7.2% เป็น 9.8% ขณะที่จำนวนประชากรที่อยู่ในภาวะยากจนเพิ่มขึ้นจาก 4.85 ล้านคนเป็นมากกว่า 6.7 ล้านคน
.
โดยภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากรยากจนเพิ่มขึ้นมากกว่า 500,000 คนในช่วงปี 2558-2561 และจังหวัดที่มีอัตราความยากจนสูงสุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน //ปัตตานี // กาฬสินธุ์ // นราธิวาส และตาก ส่วนใหญ่อยู่ใกล้พรมแดน หรืออยู่ในพื้นที่ขัดแย้งในภาคใต้
.
สำหรับปัจจัยความยากจนที่เกิดขึ้นมาจากภาวะเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่แย่ลง ซึ่งไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนา โดยปี 2562 GDP ไทยอยู่ที่ 2.7% ต่ำสุดในภูมิภาค การเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในระดับปานกลางทั่วภูมิภาค เนื่องจากปัญหาการค้าโลกส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย // ภัยแล้งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุด และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในภาวะหดตัว อีกทั้งรายได้ที่แท้จริงจากภาคเกษตรและภาคธุรกิจลดลงทั้งในกลุ่มที่อาศัยอยู่เขตชนบทและเขตเมือง
.
ถึงแม้ไทยจะมีตัวชี้วัดระดับสากลด้านความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในระดับดี เช่น การเรียนของเด็กปฐมวัย การมีน้ำใช้ มีสุขาภิบาลและมีไฟฟ้าใช้ที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน แต่ความเหลื่อมล้ำยังเป็นประเด็นสำคัญของไทย ที่ความมั่งคั่งยังไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึงไปสู่ประชาชนที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งมีสัดส่วน 40%
.
โดยปี 2558-2560 พบว่าประชากรกลุ่มนี้มีการบริโภคและรายได้ที่ติดลบ จากรายได้แรงงานทุกประเภทที่ลดลง การหยุดนิ่งของการขึ้นค่าแรงและรายได้จากภารเกษตรและธุรกิจลดลง