น้ำมันดิบโลกอาจพุ่งแตะ 185 ดอลลาร์สิ้นปีนี้ หากน้ำมันดิบรัสเซียถูกกระทบต่อเนื่อง

475
0
Share:
น้ำมันดิบ

ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้งไนเม็กซ์ สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ พุ่งขึ้นถึง 130 และเฉียด 140 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลตามลำดับในช่วงเช้าวันนี้ในเอเชีย สะท้อนถึงแนวโน้มน้ำมันดิบตลาดโลกอยู่ในภาวะขาขึ้นต่อเนื่องโดยขึ้นกับปัจจัยผลกระทบของปริมาณน้ำมันดิบประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับต้นๆของโลกนอกกลุ่มโอเปก

ถ้าประเทศรัสเซียเผชิญกับภาวะไม่แน่นอนของปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิต และไม่สามารถส่งออกได้ ซึ่งเป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบที่สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู กำลังพิจารณาที่จะประกาศใช้เพื่อตอบโต้การกระทำทางทหารที่รุนแรงของรัสเซีย ราคาน้ำมันดิบโลกโดยเฉพาะเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ อาจพุ่งทะยานถึง 185 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในช่วงสิ้นปี 2565 นี้

ปัจจุบันพบว่า น้ำมันดิบที่ประเทศรัสเซียผลิตได้นั้น มีถึง 66% ของการผลิตทั้งหมดที่ไม่สามารถขายในต่างประเทศเหมือนในภาวะปกติ เนื่องจากสหรัฐอเมริกา และนานาชาติทั่วโลกคว่ำบาตรระบบข้อมูลการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศของรัสเซียอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะมีราคาเฉลี่ยกว่า 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลเป็นระยะเวลาหลายเดือนกับสถานการณ์วิกฤตรุนแรงระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นขึ้น

ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ยังคงประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ มีราคาเฉลี่ยในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสที่ 3 ราคาเฉลี่ยดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเฉลี่ยเหลือเพียง 90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทั้งหมดอยู่บนปัจจัยเพิ่มเติมว่า สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงกับอิหร่านได้ ทำให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐมีต่ออิหร่าน ส่งผลอิหร่านสามารถกลับมาผลิตน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดโลกด้วยปริมาณเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ในทางตรงข้าม หากอิหร่านไม่สามารถเจรจาได้ลงตัวกับสหรัฐอเมริกาได้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ มีราคาเฉลี่ยในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 115 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสที่ 3 ราคาเฉลี่ยดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ที่ 105 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเฉลี่ยเหลือเพียง 95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล