บิ๊กไทยซัมมิทกรุ๊ปชี้รถอีวีจากจีนเข้ามาไทยทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับทัวร์ศูนย์เหรียญ

426
0
Share:
บิ๊กไทยซัมมิทกรุ๊ปชี้ รถอีวี จาก จีน เข้ามาไทยทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับทัวร์ศูนย์เหรียญ

ดร.สาโรจน์ วสุวานิช รองประธานกิตติมศักดิ์ บมจ.ไทยซัมมิทกรุ๊ป และกรรมการและประธานกิตติมศักดิ์ บมจ.ไทยซัมมิท ฮาร์เนส รวมถึงยังดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) กล่าวว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีที่มาจากประเทศจีน ซึ่งเข้ามาทุกวันนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับทัวร์ศูนย์เหรียญ ทุนจีนที่มาตั้งโรงงานในไทย ได้เอาเครือข่ายที่ผลิตชิ้นส่วนของจีนเข้ามาทั้งหมด ไม่ซื้อชิ้นส่วนกับบริษัทของคนไทยเลย มีความแตกต่างกับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่ยังแบ่งให้คนไทยบ้าง แต่ว่าจีนไม่แบ่งเลย รวมถึงธุรกิจอื่นที่จีนเข้ามาเช่นเดียวกัน

รัฐบาลไทยใช้มาตรการลดอัตราภาษีอากรและยกเว้นภาษีอากรศุลการกรสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถอีวีที่นำเข้าประเทศไทยมาทั้งคัน รวมถึงชิ้นส่วนไปอีก 1 ปี จะไปสิ้นสุดในปี 2568 นั่นหมายถึง รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อจีนต่าง ๆ ที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยได้จำนวนกี่แสนคัน ก็เท่ากับการกินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์สันดาปค่ายญี่ปุ่นไป กระทบถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนรถสันดาปของคนไทยได้รับผลกระทบ 3 แสนชิ้น ตอนนี้ค่ายรถญี่ปุ่นปรับแผนลดการผลิตลงมาจากเดิม ส่งผลกระทบให้ยอดขายชิ้นส่วนของคนไทยลดลงไปด้วย

ก่อยหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2023 ดร. อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า จีนเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดในปีนี้ โดยมากในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า แต่ถ้านับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI สะสมแล้วญี่ปุ่นยังเป็นเบอร์หนึ่ง

จีนได้เข้าลงทุนในหลายประเทศในอาเซียน ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งการลงทุนจากจีนจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก มากกว่าเน้นขายในไทยทำให้ต้องมีข้อควรระวัง

ที่ผ่านมาเราเห็นทัวร์ศูนย์เหรียญในวงการท่องเที่ยวมาแล้ว นักธุรกิจจีนกินรวบไม่เหลือให้คนไทยได้ประโยชน์อะไร ระวังจะเกิดการลงทุนทางตรง หรือ FDI ศูนย์เหรียญ ที่นักธุรกิจจีนเข้ามาพร้อมพร้อมกับบริษัทย่อย ห่วงโซ่อุปทาน หรือแม้แต่แรงงาน สุดท้ายไทยได้แค่ขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม แถมกระทบเอสเอ็มอีไทยตายเรียบ เพราะสู้สินค้าของจีนไม่ได้ ซึ่งผู้บริโภคอาจชอบของถูกแต่เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาการกระจายรายได้ โดยไทยต้องเน้นการลงทุนเพื่อดึงดูดต่างชาติ และคนในประเทศเพื่อยกศักยภาพเศรษฐกิจให้โตได้ 5% ในระยะยาวไม่ใช่เพียง 3% มิเช่นนั้น หลังหมดมาตรการกระตุ้นการบริโภคเราจะกลับมาต่อตามเหมือนเดิมถ้าไม่ทำอะไร