ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้การแข่งขันราคาเงินฝากของบรรดาแบงก์พาณิชย์ ทยอยชัดเจนขึ้น

276
0
Share:
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้การแข่งขันราคา เงินฝาก ของบรรดา แบงก์พาณิชย์ ทยอยชัดเจนขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตั้งแต่รอบการประชุมเดือนสิงหาคมและกันยายน 2565 ครั้งละ 0.25% รวมเป็น 0.50% จนทำให้ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยืนอยู่ที่ 1.00% นั้น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยตามในทันทีในระยะแรกๆ อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคม 2565 การปรับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์เริ่มหนาตามากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

โดยจำนวนแคมเปญเงินฝากพิเศษหนาตาขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 โดยแคมเปญเงินฝากพิเศษออกใหม่ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันแล้วมีจำนวนสูงกว่า 20 แคมเปญ โดยส่วนใหญ่เป็นการออกแคมเปญของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และขนาดเล็กเป็นหลัก ซึ่งแม้ว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นการออกเพื่อชดเชยโครงการ/แคมเปญเงินฝากที่ครบกำหนด หรือเตรียมจะครบกำหนด แต่เมื่อหักปัจจัยดังกล่าวแล้ว ก็ยังพบว่า มีสัญญาณการออกแคมเปญเงินฝากที่เร่งตัวขึ้น

ซึ่งภาพการเร่งขึ้นของจำนวนแคมเปญเงินฝากออกใหม่สุทธิทยอยปรากฏขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 สอดคล้องกับการเร่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ ขณะที่จำนวนแคมเปญเงินฝากออกใหม่สุทธิขยับขึ้นจากประมาณ 6-7 แคมเปญในเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2565 มาที่ประมาณ 18 แคมเปญในเดือนตุลาคม 2565 นอกจากนี้แคมเปญที่ออกใหม่ในเดือนตุลาคม 2565 ยังนำเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิมประมาณ 0.36-1.00% เมื่อเทียบกับแคมเปญที่ออกในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 เช่นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำมาตรฐานทยอยปรับขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน-ตุลาคม 2565 โดยสำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์สำหรับบุคคลธรรมดา ประมาณ 0.20% จากธนาคารพาณิชย์เพียงหนึ่งแห่ง ขณะเดียวกัน ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 3 เดือน ถึง 36 เดือน ในกรอบประมาณ 0.10-0.75% นอกจากนี้ยังมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของฝั่งลูกค้านิติบุคคลในเดือนตุลาคมเช่นกัน โดยมีการปรับขึ้นประมาณ 0.05-0.18% สำหรับเงินฝากออมทรัพย์ และประมาณ 0.10-0.83% สำหรับเงินฝากประจำประเภท 3 เดือนถึง 36 เดือน

แม้อัตราการเติบโตของเงินฝาก จะประคองตัวที่ประมาณ 3.6% YoY ในเดือนกันยายน 2565 เทียบกับ 4.0% ณ สิ้นปี 2564 แต่การแข่งขันด้านราคาเงินฝากที่เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นดังกล่าว คาดว่าจะมาจากหลายสาเหตุ อาทิ การส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
รวมทั้ง ทิศทางสินเชื่อที่ยังรักษาโมเมนตัมการขยายตัว โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 สินเชื่อขยายตัว 5.0% YoY แม้จะชะลอลงเมื่อเทียบกับการขยายตัว 6.0% ณ สิ้นปี 2564 แต่ก็เป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอัตราการเติบโตของเงินฝาก

ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินที่ทยอยลดลง จากสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่ปรับขึ้นจาก 93.0% ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 มาที่ 95.0% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 นอกจากนี้สัดส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง (% LCR) และปริมาณสินทรัพย์สภาพคล่องส่วนเกิน (จากประมาณการกระแสเงินสดไหลออกในระยะ 30 วัน) ได้ทยอยปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงประมาณกลางปี 2565 โดยสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ และการปรับลดลงของมูลค่าตราสารหนี้ที่ถือครองตามราคาตลาด (Mark to Market) ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ไทยปรับสูงขึ้น ประกอบกับผู้ฝากเงินอาจมีการปรับเปลี่ยนการออมเงินในรูปเงินฝากบางส่วนไปลงทุนในหุ้นกู้

การออกแคมเปญเพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากกลุ่มต่างๆ ตามนโยบายของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง โดยมีการออกแคมเปญเงินฝากระยะยาวที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นในลักษณะขั้นบันไดสำหรับรองรับวัยเกษียณ หรือรับดอกเบี้ยเงินฝากคืนในลักษณะรายเดือน แคมเปญเงินฝากปลอดภาษี รวมถึงโครงการเงินฝากพิเศษสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง และแคมเปญเงินฝากประจำพิเศษที่ฝากสม่ำเสมอเป็นรายเดือน เพื่อตอบวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมการออมที่สม่ำเสมอ เป็นต้น

แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เงินฝากจะไม่ได้เติบโตในอัตราเร่ง แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากน่าจะปรับสูงขึ้นในลักษณะที่ชันขึ้นอีก โดยมาจากแรงส่งทั้งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้นมากกว่า 0.50% ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566

ส่วนประมาณการเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ณ สิ้นปี 2565 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-3.7% (เทียบกับ 4.0% ณ สิ้นปี 2564 และ 3.6% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565) ก่อนที่จะขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบประมาณ 4.0-5.5% ในปี 2566 ตามทิศทางเศรษฐกิจที่น่าจะทยอยฟื้นตัว และการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อ ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์คงต้องบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยการส่งผ่านต้นทุนยังขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจ ความพร้อมของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจหลักอย่างเช่นเงินให้สินเชื่อเป็นสำคัญ