สรรพสามิตสั่งชะลอเก็บภาษีความเค็ม-เบียร์ 0%

766
0
Share:

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากความเค็ม และการจัดเก็บภาษีเบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 0% หรือเบียร์ 0% ว่า ขณะนี้ต้องชะลอแนวทางการพิจารณาทั้งหมดออกไปก่อน เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขต้องระดมกำลังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ทำให้การพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีต้องหยุดพักไปก่อน
.
โดยภาษีความเค็มอยู่ระหว่างการสรุปร่วมกันระหว่างสาธารณสุข และกรมสรรพสามิตจะกำหนดเพดานการบริโภคโซเดียมว่าควรมีปริมาณเท่าใดต่อวัน จากเพดานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต้องไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือร่วมกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง พร้อมปรับสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดเก็บภาษีความเค็ม และให้สอดคล้องกับเทรนด์เรื่องสุขภาพในปัจจุบัน
.
ส่วนการจัดเก็บภาษีเบียร์ 0% ก่อนหน้านี้ได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว และได้ให้กลับมาพิจารณาใหม่ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น หลังจากนักวิชาการให้ความเห็นว่าหากมีการจัดเก็บภาษีดังกล่าว อาจส่งผลให้ราคาขายปลีกเบียร์ 0% ไม่แตกต่างจากเบียร์ปกติ แต่อีกมุมมองระบุว่า เบียร์ 0%จัดว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่งแต่ยังไม่มีพิกัดภาษีที่จะเข้าไปจัดเก็บให้ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันเบียร์ 0% ใช้อัตราภาษีเดียวกับน้ำหวาน ซึ่งอยู่ที่ 14% แต่เบียร์ปกติ อยู่ที่ 28% โดยอัตราภาษีต่างกันมาก
.
ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้กฎหมายควบคุมได้เหมือนแอลกอฮอร์ทั่วไป ทำให้อัตราภาษีเบียร์ 0% จะสูงกว่าอัตราภาษีน้ำหวาน แต่ต่ำกว่าภาษีเบียร์ทั่วไป เพื่อให้เห็นภาพชัด และการจัดเก็บภาษีก็เพื่อไม่เป็นการจูงใจให้เกิดการเข้าถึงการบริโภค
.
นายพชร กล่าวถึงภาพรวมการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในช่วง 4 เดือนของปีงบประมาณ 2563 หรือ ต.ค. 2562-ม.ค.2563 อยู่ที่ 2.12 แสนล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 2.72 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 14.71% แต่จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เริ่มส่งผลกระทบต่อภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในช่วงเดือน มี.ค.นี้ เนื่องจากคนชะลอการท่องเที่ยว ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และภาษีเครื่องดื่มปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์และมั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2563 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 6.22 แสนล้านบาท