หมอธีระเผยไทยพบ “ปอดอักเสบ” จากโควิดเพิ่มขึ้น 10.77% เสียชีวิตพุ่งอันดับ 14 ของโลก

352
0
Share:

ร.ศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat อัปเดตสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ระบุว่า หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ปอดอักเสบเพิ่มขึ้นจาก 1402 คน เป็น 1,553 คน เพิ่มขึ้น 10.77% // ใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มจาก 504 คน เป็น 583 คน เพิ่มขึ้น 15.67% // จำนวนติดเชื้อรวม ATK ของวันนี้ เพิ่มขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน 15.18% แต่ลดลงกว่าสองสัปดาห์ก่อน 25.78% //  บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่มถึง 478 คน สูงที่สุดเท่าที่เคยระบาดมา (ชาย 81, หญิง 395, ไม่ระบุ 2)

ดูลักษณะรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นแนวโน้มการระบาดที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากทั้งเรื่องไวรัสสายพันธุ์ BA.2 ที่แพร่ไวขึ้น และพฤติกรรมการป้องกันตัวระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ในช่วง 7-10 วันข้างหน้า ควรเคร่งครัด ป้องกันตัวให้ดี เนื่องจากอาจเป็นช่วงสำคัญ หากป้องกันไม่ดีพอ จะยิ่งแพร่เชื้อกันได้มากตอนสงกรานต์และเกิดผลกระทบตามมาเป็นโดมิโน่ เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 16 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 89.13 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 75.22

การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 37.69 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 31.61

สถานการณ์ระบาดของไทย เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 14 ของโลก อัพเดตงานวิจัย

Kim AY และคณะ เผยแพร่งานวิจัยทบทวนอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์อภิมาน ในวารสารการแพทย์โรคติดเชื้อระดับสากล International Journal of Infectious Diseases เมื่อวานนี้ 23 มีนาคม 2565

โอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันอยู่ที่ 28 ครั้งต่อการฉีดวัคซีน 100,000 โดส บริเวณที่เกิดอุดตันบ่อยได้แก่ หลอดเลือดดำในสมอง 54%, หลอดเลือดดำในปอดหรือขา 36%, และในช่องท้อง 19% การเกิดลื่มเลือดอุดตันนั้นมักพบบ่อยในเพศหญิง และพบในคนอายุน้อยกว่า 50 ปี คนที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันนั้นมีถึง 91% ที่ตรวจพบ antiplatelet factor 4 (anti-PF4) antibody อัตราการเสียชีวิตหากเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน 32% หลังฉีดวัคซีน หรือหลังติดเชื้อ พบว่าภูมิคุ้มกันระดับเซลล์คงอยู่ไปถึงอย่างน้อย 15 เดือน

Wragg KM และคณะ จากประเทศออสเตรเลียทำการศึกษาพบว่า หลังฉีดวัคซีน หรือหลังเกิดการติดเชื้อ แม้ระดับภูมิคุ้มกันในน้ำเลือดหรือแอนติบอดี้จะลดลงไป แต่พบว่าภูมิคุ้มกันระดับเซลล์ T cells นั้นขึ้นโดยอยูระดับคงที่ตั้งแต่ 6 เดือน และคงอยู่ได้นานถึง 15 เดือน

Scherer PE และคณะ ทำการทบทวนข้อมูลวิชาการแพทย์ ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันมีหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ยืนยันว่า หลังติดเชื้อโควิด-19 ไป แม้จะรักษาหายไปแล้ว แต่จะเกิดผลกระทบระยะยาว หรือ Long COVID ซึ่งส่งผลกระทบได้หลายระบบในร่างกาย รวมถึงปัญหาการเกิดโรคเบาหวาน

ดังนั้นการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

…ยืนยันว่าด้วยการระบาดทั่วโลกยังรุนแรง และการระบาดในประเทศไทยก็ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ติดอันดับโลกดังที่เห็นจากตัวเลขรายวัน การประกาศจะให้เป็นโรคประจำถิ่นจึงเป็นไปได้ยาก การระมัดระวังเสมอ ป้องกันตัวสม่ำเสมอเป็นกิจวัตร ไม่ได้แปลว่าต้องหยุดใช้ชีวิตหรือหยุดทำมาหากิน

เลิกสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้เกิดมายาคติ ปลุกปั่น มอมเมา ให้คนเข้าใจผิดว่าจะทำมาหากินได้ก็ต่อเมื่อจะต้องประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น ไม่กลัวติดโรค ไม่ป้องกันตัว และหวนกลับไปทำตัวเหมือนอดีตก่อนการระบาด แนวคิดมายาคติข้างต้นจะนำไปสู่การติดเชื้อแพร่เชื้อกันมากมายในสังคม เรียกร้องเสรีการใช้ชีวิต แต่ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำที่ทำให้คนอื่นในสังคมเดือดร้อนจากการติดเชื้อ ป่วย ตาย หรือทุพลภาพระยะยาวจาก Long COVID

ใช้ชีวิต ทำมาหากิน แต่ทำอย่างปลอดภัย มีสติ ป้องกันตัวอย่างดี ก็จะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแพร่เชื้อได้ เคร่งครัดมาก ความเสี่ยงก็จะน้อยลงตามลำดับ

อนาคตของการใช้ชีวิตโดยยังมีโรคระบาดนั้น ไม่ใช่การใช้ชีวิตในรูปแบบอดีตที่อันตรายและไม่เหมาะสมกับสังคมที่มีโรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่อาจส่งผลให้เกิดผลกระทบระยะยาวอย่าง Long COVID