หุ้นแดงดับ! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งหนักกว่า 520 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 90 ดอลลาร์

226
0
Share:
หุ้นแดงดับ! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดดิ่งหนักกว่า 520 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 90 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 30,183 จุด -522 จุด หรือ -1.01% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,789 จุด -66 จุด หรือ -1.71% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,220 จุด -204 จุด หรือ -1.79%

สาเหตุจากผลการประชุมการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติการขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ที่ยาวนานในประวัติศาสตร์ของเฟด และเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ ส่งผลอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ระหว่าง 3.00-3.25% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2018

นักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปถึงระดับ 4.25-4.50% สิ้นสุดปีนี้ ที่สำคัญ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวถึงระดับ 4.50-4.75% ในปี 2566

นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1% ขึ้นแตะระดับ 11.63 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ หลังจากที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 110.79 ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐทะยานแข็งค่ามากถึง 16% ตั้งแต่ต้นปีนี้

ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 2 ปี พุ่งกระฉูดขึ้นแตะระดับ 4% ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 15 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2007 หรือนับตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวอายุ 10 ปี พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับ 3.6% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2011 สะท้อนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่สูงขึ้น และทรงตัวในระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น

ขณะที่ ตัวชี้วัดโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอี เฟดวอท์ช พบว่า ขณะนี้มีโอกาส 75% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% จากก่อนหน้านี้ที่มีโอกาส 25% นอกจากนี้ โอกาสขึ้นเป็น 17% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 1.00% ในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นในพฤศจิกายน และธันวาคม

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 82.94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.00 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.2% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 89.83 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.79 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.9% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งร่วงลงเกือบ 2% สำหรับไตรมาสที่ 3 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ทั้งราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ และไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา ดำดิ่งมากถึง 20% ทำสถิติราคาน้ำมันดิบรายไตรมาสที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 2 ปีกว่า หรือนับตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาดของโรคโควิด-19

สาเหตุจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งแข็งค่าสูงในรอบ 20 ปี รับผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในคืนผ่านมา

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,682.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +8.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.66% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ราคาทองคำล่วงหน้าดำดิ่งลงปิดต่ำกว่า 1,680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากนักลงทุนกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครนที่จะปะทุความรุนแรงครั้งใหม่หลังจากประธานาธิบดีรัสเซียแถลงเคลื่อนพลราว 300,000 คน เข้าเสริมกองทัพรัสเซียในยูเครน ถึงแม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งแข็งค่ามากขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นรับการประชุมของเฟดกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน