ห่วงเอสเอ็มอี! หอการค้ารับได้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 2.37% แต่ถ้าขึ้น 400 บาท มองอาจได้ไม่คุ้มเสีย

170
0
Share:

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณีรัฐบาลให้ทบทวนการปรับขึ้นค่าจ้างรายวันขั้นต่ำประจำปี 2567 กลังจากที่คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ในรูปคณะกรรมการไตรภาคีมีมติเป็นเอกฉันท์การปรับอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปีในช่วง 2-16 บาท หรือประมาณ 2.37% ต้องยอมรับว่าเป็นไปตาม พ...คุ้มครองแรงงาน มาตรา 87 ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567

อีกทั้งที่ผ่านมามีการศึกษาจากคณะกรรมการไตรภาคีจังหวัดได้พิจารณาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ประกอบปัจจัยอื่นๆ ตามกฎหมายกำหนด โดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม และสอดคล้องกับกฎบัตรองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)

โดยกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อขอกลับไปพิจารณาทบทวนเนื่องจากการนำหลักการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ อันเนื่องมาจากการใช้ฐานการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำปี 2563-2564  รวมทั้งความเป็นห่วงลูกจ้างและผู้ใช้แรงงาน ของท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่มาจากมติค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีครั้งนี้  อันมาจากความตั้งใจให้ลูกจ้างคนไทยมีรายได้ดีขึ้น และส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  และเห็นว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในบางจังหวัดไม่เหมาะสมนั้น  หอการค้าไทย ตระหนักดีถึงความเป็นห่วงของท่านนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567 ให้มีความเหมาะสมในบางจังหวัดเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่หากจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ นั้น หอการค้าไทย ยังเห็นว่าไม่ควร เพราะต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงหลายด้านทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ มองว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย และส่งผลทำให้นายจ้างมีต้นทุนสูงขึ้น บางส่วนอาจรับไม่ไหว โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และอาจชะลอการจ้างงานลดพนักงานหรือกระทบภาคธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น  ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจวงกว้างดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้กลไกคณะกรรมการไตรภาคีพิจารณาให้เหมาะสมตามกรอบที่กฎหมายกำหนดก่อนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งใหม่