อนุทินเผยยกเตือนระดับ 4 คุ้มครองชีวิตประชาชน ไม่มีอะไรมีค่าสำคัญเท่าชีวิต

453
0
Share:
อนุทิน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังรับมอบหน้ากากN 95 จากภาคเอกชน 1 ล้านชิ้น ว่า มาตรการต่างๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขออกเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของโรค และไม่เป็นภาระกับบุคลากรทางการแพทย์จนเกินไป เหมือนในอดีต โดยวันนี้ (6 ม.ค.)พบจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อ มาก 5,775 คน เสียชีวิต 11 คน ซึ่งการติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นผลพวงมาจากเทศกาลปีใหม่ และต้องอีก 7-10 วันก็จะค่อยๆปรากฎจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดในเทศกาล

ทั้งนี้จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้เสียชีวิตไม่ถึง 20 คน ก็เป็นผลมาจากการรับวัคซีน แต่ยังรับวัคซีนต่อไป และยังต่อติดตามผู้ป่วยอาการหนักด้วย เพราะส่วนใหญ่ของผู้ป่วยครั้งนี้ไม่แสดงอาการ ส่วนการปิดกิจกรรมและกิจการอะไรบางนั้นยังต้องรอดูสถานการณ์ แต่คงเป็นเรื่องการจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือของมึนเมา เพราะเป็นปัจจัยหลักของการแพร่เชื้อ ส่วนถ้าสถานการณ์เลวร้ายต้องล็อกดาวน์หรือไม่ ก็ยังตอบไม่ได้เช่นกัน แต่มาตรการที่กระทรวงสาธารณสุข ทำไป ก็เพื่อคุ้มครองชีวิตประชาชน เพราะไม่มีอะไรมีค่าและสำคัญกว่าชีวิต

นายอนุทิน กล่าวว่า การรักษาพยาบาลผู้ป่วยจะมุ่งใช้ Home Isolation (Hi)และ Community Isolation (Ci) เป็นหลัก เพื่อให้เหลือเตียงไว้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรืออาการหนัก ส่วนเรื่องที่หลายฝ่ายกังวล เรื่องเข้าประเทศ ผ่านระบบ Test & Go ที่จะขยายการรับนักท่องเที่ยวค้างท่อ จากเดิมเดดไลน์ว่าต้องเข้ามาภายในวันที่ 10 ม.ค. ก็จะขยายเป็นวันที่ 15 ม.ค. นี้ ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีการซื้อประกันไว้ตรงตามที่เอกสารแสดง เพราะที่ผ่านมาพบนักท่องเที่ยวป่วยและไม่ยอมอยู่ในระบบอีกทั้ง ซื้อประกันไม่ครอบคลุม มีการสำแดงใบประกันสุขภาพปลอม และต่อไปการเดินทางเข้ามาต้องมาในระบบ Sandbox และ Quarantine เท่านั้น ซึ่งก็ได้มีการขยายเพิ่ม Sandbox ในพื้นที่อื่นเพื่อไม่ให้ภูเก็ตรับผิดชอบหนักแค่จังหวัดเดียวได้แก่ 1.จังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า) 2.จังหวัดชลบุรี (เกาะล้าน) 3.จังหวัดระยอง (เกาะเสม็ด) 4.จังหวัดตราด (เกาะช้าง และเกาะกูด) 5.จังหวัดพังงา (เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ ไม่รวมเขาหลัก) 6.จังหวัดกระบี่ (เช่น เกาะพีพี)

ด้านนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสปสช. กล่าวว่า ได้มีการจัดเตรียมระบบ 1330 ได้รองรับผู้ป่วย และมีเจ้าหน้าที่คอยรับโทรศัพท์ถึง 300 คน ตลอด 24 ชม. โดยวันนี้มีผู้ป่วยโทรเข้ามาในระบบ 1,709 คน ซึ่งส่วนใหญ่หากไม่มีโรคประจำตัวก็จะให้อยู่ในระบบ HI แต่หากมีโรคประจำตัว เป็นผู้สูงอายุ ไม่ได้รับวัคซีนก็ต้องรับการรักษาตัวในรพ. โดยขณะนี้ได้รับงบประมาณ เพิ่มที่ขอไว้ในวงเงิน 31,000 ล้านบาทแล้ว โดยรัฐบาลโอนให้แล้ว 2,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อทั้งระบบการคัดกรองการดูแล เป็นค่าอาหารยา อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ตั้งแต่ก่อตั้งสปสช. มาในช่วงโควิด ต้องมีการของบประมาณเพิ่มเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์โควิดจะสิ้นสุดเมื่อไหร่