เขียวไม่หยุด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นเกือบ 50 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งเหนือ 81 ดอลลาร์

201
0
Share:
เขียวไม่หยุด ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดขึ้นเกือบ 50 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งเหนือ 81 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 34,395 จุด +47 จุด หรือ +0.14% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,510 จุด +37 จุด หรือ +0.85% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 14,138 จุด +219 จุด หรือ +1.58% ส่งผลทำสถิติดัชนีหุ้นปิดสูงสุดในรอบ 1 ปี 2 เดือนกว่า หรือตั้งแต่เมษายน 2021

สาเหตุจากนักลงทุนกลับมามั่นใจต่อเนื่องหลังจากเมื่อคืนงานก่อนหน้านั้น กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปเดือนมิถุนายน พบว่าเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 0.3% และทำสถิติเงินเฟ้อรายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่สิงหาคม 2021 นอกจากนี้ เมื่อเทียบรายปี หรือช่วงเดียวกันในปีผ่านมา เงินเฟ้อดังกล่าวเพิ่มขึ้นแตะ 3.0% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 3.1% ทำสถิติเงินเฟ้อรายปีเพิ่มขึ้นแต่น้อยที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่มีนาคม 2021 เป็นต้นมา และยังเป็นเงินเฟ้อที่ลดต่ำลงจากเดือนพฤษภาคมที่เคยเพิ่มเป็น 4.0% ด้วย

สอดคล้องกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในเดือนเดียวกัน ซึ่งตัดราคาอาหารและราคาพลังงานออกไป พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 0.2% เทื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ ทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือตั้งแต่สิงหาคม 2021 สอดรับกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในแง่รายปีที่เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% ทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่ตุลาคม 2021

ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่ารอบการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดจะใกล้สิ้นสุด

นักลงทุนยังคงติดตามแนวโน้มสูงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่จะมีการประชุมในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้
ขณะที่ตัวชี้วัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอีเฟดวอทช์ ทูล พบว่า มีโอกาส 91% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนัก 95% ในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมา ที่สำคัญ โอกาสลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 76.89 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.14 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.5% ทำสถิติราคาปิดสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ หรือนับตั้งแต่ 26 เมษายนผ่านมา ส่งผลราคาน้ำมันดิบปิดเพิ่มขึ้น 3 วันติดต่อกันรวม +3.90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 81.36 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.25 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.6% ทำสถิติราคาปิดสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่ 25 เมษายนผ่านมา ส่งผลราคาน้ำมันดิบปิดเพิ่มขึ้น 3 วันติดต่อกันรวม +3.67 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หรือนับตั้งแต่เมษายนผ่านมา หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปและขั้นพื้นฐานในเดือนมิถุนายนของสหรัฐอเมริกาประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ และทำสถิติเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง รวมถึงเป็นอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเบาบางที่สุดในรอบ 2 ปี สะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวได้ดี นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่าในครึ่งปีหลังนี้ ภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกจะตึงตัว สาเหตุจากความต้องการใช้น้ำมันดิบของจีนแผ่นดินใหญ่

ปัจจัยภาวะสต๊อกน้ำมันดิบทั่วโลกตึงตัวจากการที่กลุ่มโอเปกพลัสนำโดยซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจถึงวันละ 1 ล้านบาร์เรลเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคมหลังจากเริ่มต้นลดกำลังการผลิตวันละ 1 ล้านบาร์เรลในเดือนนี้เป็นเดือนแรก สอดคล้องกับรองนายกรัฐมนตรี รัสเซีย กล่าวว่า จะลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 500,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมนี้ ปริมาณดังกล่าวเท่ากับ 1.5% ของปริมาณซัพพลายน้ำมันดิบตลาดโลก รวมถึงอัลจีเรียประกาศลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 20,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมด้วย

หากซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และอัลจีเรีย ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามที่ประกาศไว้ในเดือนหน้าเต็มรูปแบบ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงถึงวันละ 5.35 ล้านบาร์เรล และอาจเป็นไปได้ที่จะลดลงมากกว่าตัวเลขดังกล่าว เนื่องจากประเทศสมาชิกหลายแห่งในกลุ่มโอเปกพลัสยังไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ตามโควต้าการผลิตที่กำหนดไว้

ขณะนี้ การลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสที่เริ่มต้นในเดือนนี้ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงมากกว่าวันละ 5 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,958.16 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +0.52 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.1% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,964.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +2.90 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.2% ทำสถิติราคาทองคำปิดสูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่ 16 มิถุนายนผ่านมา

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงต่ำลง 0.5% ทำสถิติอ่อนค่าต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม หรือในรอบ 2 เดือน สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ลดต่ำลงแตะระดับ 3.895%

นักลงทุนกลับมามั่นใจทันทีหลังจากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าที่คาดไว้ และยังเป็นเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน รวมถึงทำสถิติเงินเฟ้อทั่วไปต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี 2 เดือนผ่านมา

นักลงทุนรอการประกาศเงินเฟ้อผู้ผลิต ที่จะประกาศในคืนวันนี้เพื่อประเมินสัญญาณและแรงกดดันต่อการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมกลางเดือนนี้

ขณะนี้ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริการาว 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 25-26 เดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 91% ลดลงเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้ที่ระดับ 92%