เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จับมือสถาบันเหล็กฯ สมาคมวิศวกรฯ ดันไทยเป็นฮับการลงทุนสำคัญ

230
0
Share:
เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จับมือสถาบันเหล็กฯ สมาคมวิศวกรฯ ดัน ไทย เป็นฮับการ ลงทุน สำคัญ

นางสาวเบียทริส โฮ ผู้อำนวยการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว รวมถึงการสานต่อโครงการก่อสร้างที่ล่าช้าไปในช่วงการระบาดของโควิด–19 ทำให้คาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรมที่จะมีการเติบโตในปีนี้

นอกจากนี้ การที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ได้ยกให้การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ งานปรับปรุงทางด่วนแห่งชาติ ทางหลวง สนามบิน โครงการระบบขนส่งมวลชน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ตลอดจนงานสาธารณสุขและเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล ขึ้นเป็นวาระสำคัญของการประชุมระดับชาติ จะส่งผลให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการคาดการณ์ถึงการขยายตัวของตลาดสายไฟและสายเคเบิลในระดับภูมิภาคอีกด้วย และเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตที่รวดเร็วและความต้องการพลังงานที่สูงขึ้น

นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยบริโภคเหล็กเฉลี่ยปีละ 18 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าราวปีละ 450,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาล การสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล็กจึงถือเป็นนโยบายสำคัญ สืบเนื่องจากเทรนด์การดำเนินอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมล่าสุด การผลิตและบริโภคเหล็กจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก เพราะนอกจากจะช่วยลดแรงงานและระยะเวลาในการก่อสร้างแล้ว เหล็กยังเป็นวัสดุที่รีไซเคิลได้ 100% สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยโรงงานผลิตเหล็ก ท่อ และลวด เริ่มปรับปรุงให้มีการประหยัดพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกมากยิ่งขึ้น

นายอมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวถึงอุตสาหกรรมการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยปีนี้เผชิญความท้าทายหลายประการ อาทิ ปัญหาราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาปูนซีเมนต์และเหล็กซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก ส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ รวมถึงปัญหาขาดแคลนแรงงานหลังโควิด–19 อันเป็นอุปสรรคให้โครงการก่อสร้างมีความล่าช้า แต่ในขณะเดียวกัน จากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงสามารถผลักดันให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยเติบโตตามไปด้วย

พร้อมกันนี้ อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวยังได้ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เอกชนมีการฟื้นตัว สะท้อนจากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบและโครงการที่อยู่อาศัยในแนวสูง รวมถึงพื้นที่ค้าปลีก ศูนย์การค้า และโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลายรายการ ทำให้เชื่อมั่นว่าจะได้เห็นแผนการผลักดันและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะได้เห็นแนวโน้มดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ดี โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มีความเสี่ยงและอันตรายในทุกขั้นตอน การทำงานจึงต้องยึดความปลอดภัยของสาธารณะเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้แก่โครงการที่อาจกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้นภาครัฐจึงควรร่วมมือกับภาควิชาชีพ เพื่อสร้างกลไกการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอย่างจริงจังและเคร่งครัด เช่น การจัดให้มีคณะผู้ตรวจอิสระ ที่มีความรู้และอำนาจในการเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มงวด

มร.เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เตรียมจัดงาน “wire & Tube Southeast Asia 2023 – GIFA & METEC Southeast Asia 2023” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 20–22 กันยายน 2566 นี้ ณ ไบเทคบางนา ซึ่งได้เพิ่มพื้นที่จัดงานถึง 40% และงานนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการ เข้าร่วมมากกว่า 400 ราย จาก 30 ประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรีย จีน เยอรมัน อิตาลี ไต้หวัน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา และ ผู้สนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 9,000 คน มากกว่าการจัดงานครั้งที่ผ่านมาอยู่ที่ 5,000 คน โดยปีนี้ประเทศที่ให้ความสนใจเข้าร่วม เช่น มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา เป็นต้น เชื่อว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เติบโตโดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง

สำหรับงานที่จัดขึ้น เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มสำคัญด้านอุตสาหกรรม สินค้า และนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวม 4 มหกรรมด้านอุตสาหกรรมสุดยิ่งใหญ่ไว้ด้วยกัน ซึ่งจะเป็นการรวมตัวผู้ผลิตซัพพลายเออร์ รวมถึงผู้ให้บริการโซลูชันที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม อีกทั้งภายในงาน ยังมีการจับคู่ทางธุรกิจ รวมถึงการประชุมและสัมมนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจโดยผู้เชี่ยวชาญ ตอบโจทย์ความต้องการครอบคลุมทั้งธุรกิจก่อสร้าง ยานยนต์ พลังงาน ก๊าซ ไปจนถึงโรงงานผลิต-ขึ้นรูปโลหะ และเหล็กกล้า ที่จะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันภาคอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดรับการขยายตัวของภาคธุรกิจที่จะเกิดขึ้นตลอดจนกระตุ้นการตัดสินใจลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อันเป็นฟันเฟืองสำคัญของการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจในอนาคต