เสี่ยงปีหน้า! บลจ.บัวหลวงชี้ 5 ปัจจัยเสี่ยงคู่โลกปี 2565

429
0
Share:

ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือบลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ในปี 2565 นี้ ความไม่แน่นอนและความไม่สมดุลในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงมีอยู่ต่อไป โดยมีปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญ 5 ประการที่นักลงทุนต้องจับตา ดังนี้

ปัจจัยที่ 1 การระบาดของโควิดที่ยังคงอยู่กับโลกนี้ต่อไป จึงยังเป็นต้นตอหลักของความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายระยะข้างหน้า นับเป็นงานท้าทายของภาครัฐที่ต้องออกมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาจากโควิด-19 อย่างทันท่วงที ถูกที่ถูกเวลา รวมถึงใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม เพราะสถานะการคลังของแต่ละประเทศเริ่มตึงตัวแล้ว

ปัจจัยที่ 2 รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เริ่มชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยพบว่านโยบายภาครัฐที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ จะมีส่วนสำคัญมากต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่มองไปข้างหน้ารัฐบาลแต่ละประเทศจะเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากต้องรักษาวินัยการคลังไว้ ซึ่งมาตรการรัดเข็มขัดนี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า

ปัจจัยที่ 3 เงินเฟ้อที่พุ่งสูง นับเป็นรอยแผลลึกต่อเศรษฐกิจอันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเงินเฟ้อมาจากทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน ในด้านอุปสงค์ คือ การให้เงินช่วยเหลือของภาครัฐแก่ประชาชนท่ามกลางตัวเลือกการใช้จ่ายที่จำกัดจากการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งภาคบริการต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์และที่พักอาศัย เพิ่มขึ้นรวดเร็ว
แม้อัตราเงินเฟ้อที่มาจากความต้องการซื้อสินค้าจะไม่น่ากังวลนัก เนื่องจากมีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย แต่เงินเฟ้อจากฝั่งอุปทานกลับแตกต่างไป เนื่องจากเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้วยภาวะขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบการผลิต รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งหนุนให้ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ปัจจัยที่ 4 การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่แตกต่างกันไป โดยจะแบ่งแนวทางการใช้นโยบายการเงินเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ธนาคารกลางที่เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว อาทิ ธนาคารกลางออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์ ซึ่งแม้จะปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็สะท้อนดอกเบี้ยในทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจน

กลุ่มที่ 2 ธนาคารกลางที่ระมัดระวังและอดทนในการพิจารณาถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย นำโดยธนาคารกลางยุโรป และกลุ่มที่ 3 ธนาคารกลางที่มีความจำเป็นในการลดการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลง ซึ่งกลุ่มนี้น่าสนใจที่สุด นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

แนวทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางที่แตกต่างกัน เกิดขึ้นในเวลาที่เศรษฐกิจโลกต้องการที่พึ่งท่ามกลางความแตกต่างของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินแต่ละประเทศที่เริ่มจะสวนทางกัน อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่สมดุล และทำให้โลกเข้าใกล้กับสถานการณ์ที่เป็นอันตราย หรือ Dangerous Dispersion โดยที่ กีตา โกพินาท หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวในการประชุมประจำปีครั้งล่าสุด

และปัจจัยที่ 5 ทิศทางของจีน ซึ่งในปี 2564 เศรษฐกิจจีนเผชิญเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหลายครั้ง ที่ไม่ได้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ แต่เป็นผลจากรัฐบาลจีนประกาศนโยบายและเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการพัฒนาและยกระดับประเทศไปอีกขั้น เมื่อมังกรขยับตัว ทั้งโลกก็สั่นไหว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ ขณะที่ความสัมพันธ์ที่เปราะบางของสหรัฐ ไต้หวัน และจีน ปัจจุบันยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง