เอกชนเกาะติดผลประชุม กนง. วันนี้  ย้ำอยากให้ลดดอกเบี้ย ตัวเลขเงินเฟ้อชี้แล้วลดได้

126
0
Share:

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนได้ติดตามการประชุม กนง.ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีในปัจจุบันที่ต้องเสียอัตราดอกเบี้ยในระดับ 8-10% สูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งมองผลของการประชุมครั้งนี้ 2 แนวทาง คือ

1. กรณีที่มีการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% ภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้กับเอสเอ็มอี เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะมีผลต่อต้นทุนทางการเงิน ดังนั้น ธปท.จะต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพราะเอสเอ็มอีบางส่วนยังมีผลกระทบจากโควิด-19
2. กรณีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จะเป็นสัญญาณที่ดีถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในขาลง ซึ่งจะเห็นทิศทางต้นทุนทางการเงินที่ลดลง

ทั้งนี้ ภาคเอกชนต้องการให้มีการปรับลดลงหลังจากที่มีข้อมูลทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อชี้ให้เห็นว่าสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานอัตราดอกเบี้ยเดือน มี.ค. 2567 ติดลบ 0.47% ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก รวมทั้งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดภาวะที่ผู้บริโภคไม่กล้าจับจ่าย ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องถึงภาคการผลิตที่จะมีการผลิตและสต็อกสินค้าลดลง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนมองว่ามีแนวโน้มในการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทั่วโลกจะเป็นช่วงของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่อยู่ที่ประเทศไหนจะประกาศลดก่อนกัน ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เคยประกาศไว้ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลง 3 ครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐมีความแข็งแกร่งมาก จึงคิดว่าเฟดยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีแรก แต่ครึ่งปีหลังจะลดอัตราดอกเบี้ยลง

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศไทยนั้นได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาถึง 2.5% แล้วนั้น ส่งผลต่อเอสเอ็มอีทำให้เกิดภาระของต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้น หากจะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ ก็จะเป็นการบรรเทาโดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนทางการเงินของกลุ่มเอสเอ็มอีลงได้ ซึ่งดอกเบี้ยในระบบและดอกเบี้ยนอกระบบมีความผูกพันกัน หากดอกเบี้ยในระบบลดลง ดอกเบี้ยนอกระบบก็จะลดลงเช่นกัน

การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะกระตุ้นกำลังการซื้อของประชาชนมากขึ้น สินค้าก็อาจจะลดราคาลงได้ สิ่งเหล่านี้หากทำควบคู่กับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก็จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้ เพราะขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวก็ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว