แดงยกแผง! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทรุดแรงกว่า 330 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 76 ดอลลาร์

215
0
Share:
แดงยกแผง! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดทรุดแรงกว่า 330 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 76 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,922 จุด -336 จุด หรือ – 1.07% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,111 จุด -35 จุด หรือ -0.79% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 13,679 จุด -112 จุด หรือ -0.82%

สาเหตุจากตัวเลขการจ้างแรงงานพนักงานในภาคเอกชนสหรัฐอเมริกาเดือนมิถุนายนพุ่งทะยานถึง 497,000 คน ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 220,000 คน หรือมากกว่า 2 เท่า และยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่จ้างงาน 267,000 คน ส่งผลให้ยอดจ้างงานในภาคเอกชนเดือนผ่านมา ทำสถิติเพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดในรอบ 1 ปี หรือตั้งแต่กรกฎาคม 2022

ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลครั้งใหม่กับแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่ได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากภาวะตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาที่แข็งแกร่งเกินคาด รวมถึงเมื่อวานก่อนหน้านี้ การเปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด พบว่ากรรมการเกือบทั้งหมดล้วนมีมุมมองในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไป

ในขณะเดียวกัน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 2 ปี พุ่งกระฉูดขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี หรือนับตั้งแต่มิถุนายน 2007 เป็นต้นมา สะท้อนโอกาสสูงมากที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะปรับขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรอการประกาศยอดการจ้างแรงงานชาวอเมริกันนอกภาคการเกษตรเดือนมิถุนายนที่จะประกาศในคืนวันนี้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 240,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประมาณการณ์ว่าชะลอตัวลงจากเดือนพฤษภาคมที่จ้างงานสูงถึง 339,000 คน

ขณะที่ตัวชี้วัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอีเฟดวอทช์ ทูล พบว่า มีโอกาส 95% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนัก 92% ในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมา ที่สำคัญ โอกาสลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 71.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.9% ส่งผลราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ปิดเพิ่มขึ้น 3 วันติดต่อกันถึง 3.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 76.52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากนักลงทุนกลับมากังวลครั้งใหม่กับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสำคัญของโลกทั้งธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด และธนาคารกลุ่มยูโร หรืออีซีบี โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐอเมริกาที่พุ่งทะยานเกินคาดหมายถึงกว่า 2 เท่า เป็นแรงกดดันสูงมากต่อการประชุมของเฟดในกลางเดือนนี้

ซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจถึงวันละ 1 ล้านบาร์เรลเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคมหลังจากเริ่มต้นลดกำลังการผลิตวันละ 1 ล้านบาร์เรลในเดือนนี้เป็นเดือนแรก สอดคล้องกับรองนายกรัฐมนตรี รัสเซีย กล่าวว่า จะลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 500,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมนี้ ปริมาณดังกล่าวเท่ากับ 1.5% ของปริมาณซัพพลายน้ำมันดิบตลาดโลก รวมถึงอัลจีเรียประกาศลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 20,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมด้วย

หากซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และอัลจีเรีย ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามที่ประกาศไว้ในเดือนหน้าเต็มรูปแบบ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงถึงวันละ 5.35 ล้านบาร์เรล และอาจเป็นไปได้ที่จะลดลงมากกว่าตัวเลขดังกล่าว เนื่องจากประเทศสมาชิกหลายแห่งในกลุ่มโอเปกพลัสยังไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ตามโควต้าการผลิตที่กำหนดไว้

ขณะนี้ การลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสที่เริ่มต้นในเดือนนี้ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงมากกว่าวันละ 5 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก

ธนาคารคอมเมิร์ซแบงก์ วิเคราะห์ว่า ถึงแม้จะยังไม่ถึงวันที่กลุ่มโอเปกพลัสประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบก็ตาม แต่ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ตลาดน้ำมันดิบโลกจะเผชิญกับปริมาณน้ำมันดิบขาดแคลนราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 นี้

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,910.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -6.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.3% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,915.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -11.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.6%

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 2 ปี พุ่งกระฉูดขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี หรือนับตั้งแต่มิถุนายน 2007 เป็นต้นมา สะท้อนโอกาสสูงมากที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะปรับขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างแรงงานพนักงานในภาคเอกชนสหรัฐอเมริกาเดือนมิถุนายนพุ่งทะยานถึง 497,000 คน ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 220,000 คน หรือมากกว่า 2 เท่า และยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่จ้างงาน 267,000 คน

ทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลครั้งใหม่กับแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่ได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากภาวะตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาที่แข็งแกร่งเกินคาด

การประกาศบันทึกผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ของการประชุมในเดือนผ่านไป พบว่า กรรมการทุกคนมีมมุมมองเดียวกันที่จะปรับขึ้นมาดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไป แต่ในแนวโน้มที่ไม่เพิ่มขึ้นสูงเหมือนช่วงผ่านมา

นักลงทุนยังคงกังวลกับการยืนยันแนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้นจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ยังต้องปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงประธานธนาคารกลางกลุ่มยูโรที่กล่าวว่า เงินเฟ้อในกลุ่มยูโรยังควบคุมได้ยาก จึงเลี่ยงที่จะพูดถึงรอบการสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น

ขณะนี้ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริการาว 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 89% มากกว่าเมื่อวานนี้ที่ระดับ 82%