โตต่อเนื่อง! “WHA Group” โชว์งบไตรมาสแรกปี 66 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรโต 11.8%

239
0
Share:
โตต่อเนื่อง! WHA Group โชว์งบไตรมาสแรกปี 66 รายได้ รวมและส่วนแบ่งกำไรโต 11.8%

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 /2566 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 2,440.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และกำไรสุทธิ 522.7 ล้านบาท ลดลง 20.3% โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,420.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และกำไรปกติ 505.0 ล้านบาท ลดลง 22.7% ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทดาต้าเซ็นเตอร์จากธุรกิจดิจิทัล จำนวน 345 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมกำไรพิเศษดังกล่าวในไตรมาส 1/2565 กำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 63.6% พร้อมกันนี้ บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ได้รับการอนุมัติให้เข้าลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.สยามราชธานี (SO) สัดส่วน 20% มูลค่า 912 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้เล็งเห็น Synergy ที่เกิดจาก Ecosystem ที่ครบวงจรของบริษัทฯ และความเป็นผู้นำด้าน Outsourcing ของ SO ซึ่ง Synergy ดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นรวมทั้งธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทฯ ขณะเดียวกัน ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจในอนาคตตามภารกิจ Mission to the Sun ด้วยเช่นกัน

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า การเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จการเป็นผู้นำใน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล โซลูชัน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้เป็นอย่างดี

โดยธุรกิจโลจิสติกส์ ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 249.6 ล้านบาท ส่วนแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART ในปี 2566 นั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำหน่ายทรัพย์สิน คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 142,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 3,566.5 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหน่วยกอง WHART เพื่อขออนุมัติในช่วงไตรมาสที่ 2/2566

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ณ สิ้น ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 487 ไร่ (ไทย 379 ไร่ / เวียดนาม 108 ไร่) และมียอดการเซ็น MOU รวม 753 ไร่ (ไทย 445 ไร่/เวียดนาม 308 ไร่) ส่งผลให้บริษัทฯรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 1,052.5 ล้านบาท ถือว่าเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้จากการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดรับกับภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนของประเทศไทย ที่ได้รับอนานิสงส์จากกระแสการย้ายฐานการทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2566 จากธุรกิจสาธารณูปโภครวม เท่ากับ 643.3 ล้านบาท และมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศรวม 35 ล้านลูกบาศก์เมตร แม้ว่าปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศ มีการชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปิดซ่อมบำรุงและการหยุดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (Commercial/Maintenance Shutdown) ของลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมีบางราย และการดำเนินการที่ยังไม่เต็มกำลังการผลิตของลูกค้า หากต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีการปรับตัวลงในช่วงกลางปี ก็คาดว่าจะสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อย่างเต็มกำลังการผลิตมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจไฟฟ้า ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานและการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 293.1 ล้านบาท โดยมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้า (Ft) ในช่วงที่ผ่านมา และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เริ่มปรับตัวลดลง สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP แม้โรงไฟฟ้า GHECO-One จะมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานในช่วงไตรมาสแรกก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้า IPP นั้นมีการปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ธุรกิจโซลาร์ ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เท่ากับ 110.7 ล้านบาท และได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 10 สัญญา ซึ่งเป็นโครงการ Private PPA ทั้งหมด คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 16 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีจำนวนสัญญา Private PPA สะสม 149 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ประมาณ 94 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 699 เมกะวัตต์ และ คาดว่าไตรมาส 2/2566 จะมีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมอีกประมาณ 20 เมกะวัตต์

และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff ( FiT ) เฟส 1 สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 5 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการ Solar Farm ปกติ จำนวน 4 โครงการ และโครงการ Solar Farm ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) อีกจำนวน 1 โครงการ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2572-2573

ธุรกิจดิจิทัล ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ ยังคงมุ่งทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ตามเป้าหมายในปี 2567 ล่าสุด บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ได้รับอนุมัติให้เข้าไปลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.สยามราชธานี หรือ SO จำนวน 111,597,905 ล้านหุ้น หรือ 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน โดยในการเข้าลงทุนครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เล็งเห็น Synergy ที่เกิดจาก Ecosystem ที่ครบวงจรของบริษัทฯ และความเป็นผู้นำด้าน Outsourcing ของ SO ซึ่ง Synergy ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวมทั้งธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทฯ และสำหรับการพัฒนาธุรกิจในอนาคตตามภารกิจ MTTS อีกด้วย

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2566 มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ หลังจากที่เปิดเสนอขายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ อันเป็นผลมาจากแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป