‘AREA’ มองเศรษฐกิจไทยซึมนานถึงปี 2570 ลงทุนเงียบเหงารับต้นทุนพุ่งสูง 15%

661
0
Share:
อสังหา

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF แถลงคาดการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2566-2570 นั้น IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2566 จะเติบโตสูงขึ้นเป็น 4.3% โดยเติบโตสูงขึ้นเป็นอันดับที่ 6 แทนที่จะเป็นอันดับที่ 8 เช่นในปี 2565 อย่างไรก็ตามในปี 2567-2570 เศรษฐกิจไทยน่าจะหดตัวลงในการวิเคราะห์ของ IMF โดยเติบโตลดลงเหลือ 3.8% ในปี 2567 และเป็น 3.3% 3.2% และ 3.1% ในช่วงปี 2568-2570 ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่าเมื่อเทียบกับประเทศไทย

นายโสภณกล่าวว่า โดยสรุปแล้วประเทศไทย หลังโควิด-19 ในปี 2565 ก็ยังไม่สดใสเท่าที่ควร เพราะเติบโตเพียง 3.3% เท่านั้น ซึ่งเท่ากับเติบโตเป็นอันดับที่ 8 ของอาเซียน และยังต่ำกว่าจีน อินเดียและสหรัฐอเมริกา ยกเว้นญี่ปุ่นที่ยังซึมยาว เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นบ้างในปี 2566 น่าจะเติบโตที่ 4.3% ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ไทยยังไม่เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึงระดับนี้เลย แต่ในปี 2567-70 เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ลดลง จาก 3.8% ในปี 2567 เป็น 3.1% ในปี 2570

นอกจากนี้ IMF ได้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 8 คือจะเติบโตเพียง 3.3% ซึ่งประเทศที่เติบโตช้ากว่าไทยมีเพียง 2 ประเทศ คือ สปป.ลาว ขยายตัว 3.2% และเมียนมาเติบโต 1.6% ส่วนประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดก็คือฟิลิปปินส์ที่ 6.5% ตามมาด้วยเวียดนาม 6.0% เป็นอันดับที่ 2 ส่วนอันดับ 3 คือ บรูไน 5.8% ตามมาด้วย มาเลเซีย 5.6% อินโดนีเซีย 5.4% กัมพูชา 5.1% สิงคโปร์ 4.0% จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่ำกว่าไทย มีอัตราการเติบโตสูงกว่าไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซียและกัมพูชา ยิ่งกว่านั้นประเทศที่ร่ำรวยกว่าไทย เช่น บรูไน มาเลเซียและสิงคโปร์ ก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าไทยเช่นกัน การนี้แสดงว่าประเทศไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจเท่าที่ควร

ในด้านการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ในไทยนั้น ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) มองว่า การที่เศรษฐกิจไทยยังไม่มีวี่แววที่จะ “รุ่งเรือง” แบบก้าวกระโดด เช่น กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย อาจทำให้ประเทศเหล่านี้แซงไทยไปได้ในด้านรายได้ประชาชาติต่อหัวในอนาคต และยิ่งทำให้การลงทุนจากต่างประเทศถูกแย่งชิงโดยประเทศอื่นมากขึ้น การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่เติบโตอย่างมาก ยกเว้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ส่วนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม ก็คงไม่ได้เติบโตในอัตราสูงเช่นเดิม

ปัจจัยลบสำคัญมากในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ค่าก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นมาก 10-15% ในปี 2565 และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยคงจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้โอกาสการพัฒนาที่อยู่อาศัยก็จะลดลงเช่นกัน ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2566-2570 ก็อาจหดตัวลงเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทย ดังนั้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องหาทางทำให้สำเร็จ