FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนยังอยู่ในเกณฑ์ ‘ซบเซา’

524
0
Share:

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน หรือ FETCO ผลสำรวจในเดือน ต.ค.63 พบว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้าดัชนีอยู่ที่ระดับ 61.27 ปรับตัวลดลง 9% จากเดือนก่อนหน้า และยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายภาครัฐและการไหลเข้าออกของเงินทุน
.
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงความกังวลต่อการระบาดระลอกสองของโควิด-19
.
โดยดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ม.ค.64) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม อยู่ที่ระดับ 61.27
.
ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวลดลงอยู่ในระดับ “ซบเซา”
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์การเมืองในประเทศ
.
ช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือน ต.ค.63 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET index) ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบระหว่าง 1,247.59-1,263.99 จุด และปรับตัวลงในช่วงครึ่งเดือนหลังในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังจากความไม่คืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐ และจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศหลักๆ ในยุโรปและอเมริกากลับมาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของประเทศไทยยังโดนแรงกดดันจากความร้อนแรงของสถานการณ์การเมืองในประเทศ มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร โดย ณ สิ้นเดือน ต.ค.63 SET Index ปิดที่ 1,194.95 จุด ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 3.40%
.
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการมี รมว.คลังคนใหม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐระดมออกมาอย่างต่อเนื่อง และการขยายระยะเวลาโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563
.
นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายภาครัฐและการไหลเข้าออกของเงินทุน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงความกังวลต่อการระบาดระลอกสองของโควิด-19
.
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ทิศทางเศรษฐกิจหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ การเจรจาการค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปเพื่อหาข้อตกลงก่อนที่จะจบ Transition period ในปลายปีนี้ ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ความยืดเยื้อของการชุมนุมทางการเมือง และการประกาศผลประกอบการไตรมาสสามของบริษัทจดทะเบียน
.
ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือน พ.ย.63 สะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้วว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือน พ.ย.นี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 4 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากการสำรวจเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63 เนื่องจากการคาดการณ์ว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป แต่ต้องติดตามปัจจัยความไม่แน่นอนจากต่างประเทศในประเด็นผลการเลือกตั้งสหรัฐ BREXIT และสถานการณ์โควิดที่อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนผันผวนได้