SCB เปิดงบปี 63 มีกำไร 27,218 ล้านบาท ลดลง 33% จากปี 62

715
0
Share:

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCB รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/63 มีกำไรสุทธิ 4,965 ล้านบาท ลดลง 9.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิกลับมาฟื้นตัว 7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63
.
โดยไตรมาสนี้มีรายได้ดอกเบี้ยรวม 36,366 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 23,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 12,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 16,050 ล้านบาท ลดลง 13.2% และมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ 14,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.1%
.
สำหรับผลประกอบการปี 63 ธนาคารมีกำไรสุทธิ จำนวน 27,218 ล้านบาท ลดลง 33% จากปี 62 เป็นผลจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น
.
ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองมีจำนวน 80,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน (ไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปีก่อน) ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่แข็งแกร่งและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ
.
ในปี 63 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 96,899 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 7% จากปีก่อน จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจขนาดใหญ่และการสนับสนุนสินเชื่อซอฟท์โลนให้กับลูกค้าธุรกิจ
.
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 47,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน (ไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปี 2562) โดยรายได้จากธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคารและธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองในช่วงปลายเดือนมิถุนายน
.
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 64,330 ล้านบาท ลดลง 9% จากปีก่อน เป็นผลจากการที่ธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของธนาคารในปี 63 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 44% เปรียบเทียบกับ 49% ในปีก่อน (หากไม่รวมรายการพิเศษครั้งเดียวในปี 62)
.
ในปี 63 ธนาคารได้ตั้งสำรองจำนวน 46,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจของการแพร่ระบาดของโควิด-19
.
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นปี 63 อยู่ที่ 3.68% เพิ่มขึ้นจาก 3.41% ในปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลของการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพในกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 141% ในขณะที่เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.2%
.
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร SCB กล่าวว่า แม้ว่ากำไรสุทธิในปีที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น แต่ผลประกอบการจากธุรกิจหลักของธนาคารยังคงแข็งแกร่งและเงินกองทุนของธนาคารยังอยู่ในระดับสูง
.
สำหรับปี 64 การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศทำให้ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แม้ว่าจะมีพัฒนาการในการเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็ตาม ดังนั้นธนาคารจะยังคงมุ่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้
.
ทั้งนี้ SCB ได้ตั้งเป้าหมายทางการเงินปี 64 โดยคาดสินเชื่อจะเติบโต 3-5% NIM อยู่ที่ 3-3.2% รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยทรงตัว คุม NPL ที่ 4-4.5% Credit cost น้อยกว่า 200 bps และ Coverage Ratio มากกว่าหรือเท่ากับ 130%