ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดดิ่งเกือบ 60 จุด น้ำมันดิบโลกปิดต่ำกว่า 78 ดอลลาร์

243
0
Share:
ดัชนี หุ้น เอสแอนด์พี 500 ปิดดิ่งเกือบ 60 จุด น้ำมันดิบโลกปิดต่ำกว่า 78 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,597 จุด +1 จุด หรือ +0.00% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,933 จุด -7 จุด หรือ -0.19% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,958 จุด -56 จุด หรือ -0.51% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดในแดนลบถึง 5 วันทำการติดต่อกัน

สาเหตุจากนักลงทุนกังวลอย่างมากกับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยในปี 2023 ท่ามกลางการแสดงมุมมองต่อภาวะดังกล่าวของซีอีโอจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกจำนวนมาก เช่น ซีอีโอธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค นายเจมี ดิม่อน กล่าวว่าเงินเฟ้อในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอย และจะถดถอยระดับปานกลางถึงหนักมากด้วย

ก่อนหน้านี้ดัชนีภาคบริการ หรือ ISM เดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกา ทะยานขึ้นถึง 56.5% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 53.7% นอกจากนี้ ยังเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนตุลาคมถึง 2.1% และยังเป็นดัชนีภาคบริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงเดือนที่ 30 ติดต่อกัน ด้านดัชนีการนำเข้าสหรัฐอเมริกาในเดือนเดียวกันทะยานขึ้นถึง 9.1% มาอยู่ที่ระดับ 59.5% ทั้งหมดทำให้นักลงทุนกังวลครั้งใหม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจจะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างรุนแรงในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกถูกเทขายมากกว่า 3% ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานลงหนัก

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 72.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.2.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.6% ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบปิดต่ำสุดตั้งแต่ต้นปีนี้ หรือนับตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามรัสเซียกับยูเครน ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 77.17 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.18 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.8% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ ดัชนีภาคบริการตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ตามด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในวันจันทร์ผ่านมา ซึ่งล้วนปรับขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบต่อเนื่อง ได้แก่ ดัชนีภาคบริการ ตัวเลขการนำเข้า ตัวเลขการจ้างงาน ส่งผลกดดันธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจหวนกลับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่า 3% กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,798 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +15.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +0.9% หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พบว่าทองคำล่วงหน้าปิดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 4 เดือน หรือตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นที่กลับมาลดลง

ขณะนี้ ตัวชี้วัดที่เรียกว่า เฟด ฟันด์ ฟิวเจอร์ หรือโอกาศการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.50% ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้อยู่ที่ 75%