บริษัทจัดตั้งใหม่เดือน ก.ย. ลดลง 1.55% แต่ 9 เดือนเพิ่ม 12.94% จำนวน 68,665 ราย

184
0
Share:
บริษัท จัดตั้งใหม่ ธุรกิจ จัดตั้ง เดือน ก.ย. ลดลง 1.55% แต่ 9 เดือนเพิ่ม 12.94% จำนวน 68,665 ราย

นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือน ก.ย. 2566 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 7,107 ราย ลดลง 4.27% เมื่อเทียบกับ ส.ค. 2566 และลดลง 1.55% เมื่อเทียบกับ ก.ย. 2565 เนื่องจากเป็นไปตามฤดูกาลของการจดทะเบียนที่จะมีแนวโน้มการจดจัดตั้งสูงในช่วงต้นปีและลดลงในช่วงปลายปี มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 24,170.64 ล้านบาท

โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 2,039 ราย เทียบกับ ส.ค.2566 เพิ่ม 7.50% เทียบกับ ก.ย.2565 เพิ่ม 4.78% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ 17,229.98 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร

สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่รวม 9 เดือน ปี 2566 (ม.ค.–ก.ย.) มีจำนวน 68,665 ราย เพิ่มขึ้น 12.94% โดยเป็นจำนวนการจัดตั้งใหม่รวมสูงสุดในรอบ 10 ปี และจดทะเบียนเลิก จำนวน 13,010 ราย เพิ่มขึ้น 13.74% ทั้งนี้พบว่ามูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 39.68% เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2566 มีการควบรวมกิจการในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมและธุรกิจประกันวินาศภัย รวมทั้งมีการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในกลุ่มธุรกิจโฮลดิ้งและโรงแรม

ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นยังคงมาจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลักสะท้อนจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตกว่า 1.5 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (9 เดือนแรกปี 2565) ได้แก่ ธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช เติบโต 1.69 เท่า เพิ่มขึ้น 115 ราย คาดว่าเป็นผลมาจากนโยบาย BCG Model ที่ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก และ ธุรกิจกิจกรรมบริการอื่นๆที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์

“กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 32,000–39,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 79,000–86,000 ราย” นายจิตรกร กล่าว