พิธา “ผมว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป” แถลงหมดเวลารัฐประหาร ทุกฝ่ายน้อมรับเสียงประชาชน

267
0
Share:
พิธา ผมว่าที่ นายกรัฐมนตรี คนต่อไป แถลงหมดเวลารัฐประหาร ทุกฝ่ายน้อมรับเสียงประชาชน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประกาศชัยชนะผลการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 โดยประกาศพร้อมเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หลังจากผลคะแนนเลือกตั้ง อย่างไม่เป็นทางการอยู่ที่ 151 เสียง โดยล่าสุด ได้ติดต่อแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ทั้งเพื่อไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย ร่วมกับพรรคก้าวไกล รวม 308 เสียง และอยู่ระหว่างติดต่อพรรคเป็นธรรม รวมเป็นรัฐบาล 309 เสียง เพียงพอต่อการตั้งรัฐบาล และปิดประตูการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด และจะเดินหน้านำโรดแมพและเป้าหมายของพรรคก้าวไกล เจรจากับพรรคที่จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลเพื่อก้าวไปสู่ภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตั้งสภาร่างรัฐธรมนูญ (ส.ส.ร.) รวมถึงเดินสายพบทุกภาคส่วนเพื่อทำความเข้าใจ ทั้งนักธุรกิจ ภาคประชาชน ข้าราชการ พร้อมทั้งยืนยันการแก้ไข ม.112 ไม่ใช่การยกเลิก ม.112

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุด้วยว่าไม่กังวลเสียง 250 ส.ว. เพราะเชื่อว่าจะคงไม่มีใครกล้าฝืนมติประชาชน เพราะไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายใดเลย

“พรรคพร้อมทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้านเดิมที่เราเคยได้พูดคุยกันไว้ ซึ่งเมื่อดูจากผลคะแนนของพรรคที่มาเป็นอันดับหนึ่ง มั่นใจว่าเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และยังยืนยันจุดยืนว่าจะไม่ร่วมกับพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ตามที่ได้เคยประกาศไว้ชัดเจนก่อนหน้านี้ ดังนั้นพรรคยืนยันได้ว่า การรวมเสียงกับพรรคเสียงข้างมากเพียงพอที่จะปิดประตูการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแน่นอน และเชื่อว่าประชาชนจะต้องไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

ส่วนนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคก้าวไกลที่ประกอบด้วย 3 เป้าหมาย คือให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ สองทำให้กองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว ขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย ลดจำนวนนายพลแล้วไปเพิ่มสวัสดิการให้แก่ทหารชั้นผู้น้อย และสาม ทำให้กองทัพมีภารกิจเฉพาะความมั่นคงระหว่างประเทศเท่านั้น จะยังคงเดินหน้าตามที่ได้หาเสียงไว้แน่นอน

นอกจากนี้ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า แนวทางจัดตั้งรัฐบาลในเบื้องต้นคงจะมีการรวมเสียงฝ่ายค้านเดิม ซึ่งคาดว่าจะได้เสียง 308 เสียง เพื่อให้รัฐบาลเกิดเสถียรภาพ และมั่นใจว่า ส.ว. ทั้ง 250 เสียง จะไม่สวนกระแส

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่า ส.ว. อาจงดลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีหากมีการเสนอชื่อนายพิธา ส่งผลให้ต้องเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะตนเชื่อว่าจะมี ส.ว.ที่ไม่อยากถูกมองว่าเป็นปัญหาหรือเป็นจำเลยสังคม และไม่เชื่อว่าจะมีสมการทางการเมืองไหนที่ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพเท่าทั้งสองพรรคที่ได้เกือบ 300 เสียงแล้วจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล ส่วนรายละเอียดนั้นคงต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นก่อน

สำหรับการแบ่งโควต้ากระทรวงนั้นขึ้นอยู่กับข้อตกลงในเอ็มโอยูที่จะมีการเจรจาต่อรองกัน เพราะแต่ละพรรคก็มีนโยบายเศรษฐกิจของตัวเอง คงจะต้องพิจารณาในหลายมิติว่าจะผลักดันอย่างไร โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งคงจะใช้นโยบายของพรรคก้าวไกลเป็นหลัก