วัคซีน “Vaxzevria” ของแอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส ลดป่วยรุนแรงได้ดี ป้องกันสายพันธุ์เบต้าได้กว่า 82% เดลต้าได้ถึง 87%

482
0
Share:

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่าวัคซีน “Vaxzevria” ของแอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส มีประสิทธิภาพสูงในการลดความรุนแรง และลดการเจ็บป่วยหนัก จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เบต้าและเดลต้าข้อมูลการใช้วัคซีนในแคนาดาแสดงประสิทธิผลของวัคซีนหลังจากฉีดเข็มแรก ช่วยลดการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและป้องกันการเสียชีวิตที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เบต้า/แกมมาได้ 82% และเดลต้าได้ 87%

.

ผลการศึกษาจากเครือข่ายการวิจัยการสร้างภูมิคุ้มกันโรคของแคนาดา ซึ่งเผยแพร่ในวารสารฉบับก่อนตีพิมพ์ ได้แสดงให้เห็นว่า “Vaxzevria” หรือวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้า เซนเนก้า 1 โดส มีประสิทธิผลสูงถึง 82% ช่วยลดการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เบต้า/แกมมา นอกจากนี้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันสายพันธุ์เดลต้า (B.1.617.2 หรือสายพันธุ์อินเดีย) และสายพันธุ์อัลฟ่า (B.1.1.7 หรือสายพันธุ์เคนท์) โดยช่วยลดอาการป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรืออัตราการเสียชีวิตได้ถึง 87% และ 90%

.

ทั้งนี้ ผลการทดสอบประสิทธิผลของวัคซีน Vaxzevria หลังการฉีดเข็มแรกเพื่อป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตนั้น มีระดับตัวเลขที่ไม่แตกต่างกับวัคซีนอื่นๆ ที่นำมาทดสอบ โดยระยะเวลาในการติดตามผลยังไม่เพียงพอที่จะรายงานประสิทธิภาพของ Vaxzevria หลังการฉีดเข็มที่สอง แต่มีงานวิจัยอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่สองตามคำแนะนำในการเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สอง

.

ผลการศึกษาระบุว่าวัคซีน Vaxzevria มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยที่ไม่รุนแรง โดยเป็นการรายงานผลทดสอบหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มแรกเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อมูลหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่สองเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันตามการเว้นระยะฉีดตามที่กำหนด โดยเป็นที่ทราบดีว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจะเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับเข็มที่สอง 2 แล้วประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพในการป้องกันโรครุนแรง โดยประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการไม่ว่าในระดับใดจากโรคโควิด-19 สายพันธุ์เบต้า/แกมมาอยู่ที่ประมาณ 50% และ 70% และ 72% สำหรับสายพันธุ์เดลต้าและอัลฟ่า

.

จากการทดลองในเฟสที่ 1 และ 2 ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยวิทวอเตอร์สแรนด์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น ยังไม่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันอาการที่รุนแรงได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว มีสุขภาพดี และมีอาการของโรคไม่รุนแรงเท่านั้น

.

ด้าน เซอร์ เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) กล่าวว่า “ในขณะที่ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ต่างๆ กำลังคุกคามและขัดขวางหนทางในการรอดพ้นจากโรคระบาดนี้ หลักฐานจากการใช้จริงของเราได้แสดงให้เห็นว่า Vaxzevria และวัคซีนอื่นๆ ที่ใช้อยู่ในแคนาดา มีศักยภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ที่แสดงอาการรุนแรงในระดับสูงหลังจากการฉีดเพียงเข็มแรก

.

ทั้งนี้ผลการวิเคราะห์จากการศึกษาเป็นการรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าทั้งหมด 69,533 คน ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2020 ถึงพฤษภาคม 2021 ในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในสายพันธุ์ที่ไม่น่ากังวลจำนวน 28,705 คน (6.8%) และในสายพันธุ์ที่น่ากังวลจำนวน 40,828 คน (9.7%)

.
วัคซีนดังกล่าวได้พัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมของไวรัสโคโรนา ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง