วิกฤตเศรษฐกิจฉุดเงินรูปีปากีสถานดิ่งเป็นประวัติการณ์

590
0
Share:

ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศในเอเชีย รายงานว่า เมื่อวานนี้ 19 กรกฎาคม 2565 ค่าเงินรูปีของประเคปากีสถานเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ ร่วงลงอย่างรุนแรงมาแตะที่ระดับ 221.99 ต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือ -3.2% ทำสถิติเงินรูปีปากีสถานอ่อนค่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ในขณะที่ ฟิทช์ เรตติ้ง บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนชื่อดังระดับโลก ประกาศปรับลดมุมมองด้านภาวะเศรษฐกิจของประเทศปากีสถานจากระดับมีเสถียรภาพลงมาเป็นลบ ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลปากีสถานเข้าใกล้สถานะพันธบัตรขยะ หรือไม่ควรลงทุน

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือการลงทุนชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ปรับลดมุมมองด้านเศรษฐกิจลงมาอยู่ลบเช่นกัน

สำหรับสาเหตุที่เศรษฐกิจปากีสถานตกต่ำอย่างย่ำแย่นั้น เป็นผลจากสถานะเงินกู้จากเจ้าหนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับสูง สภาวะตลาดการเงินภายในประเทศที่ย่ำแย่ เงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนพุ่งสูงถึง 23.1% มากเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางปากีสถานสูงถึง 15% ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวอย่างรุนแรง แต่เพื่อเป้าหมายสำคัญในการแก้วิกฤตเงินเฟ้อ

ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและอยู่ในสถานะเลวร้าย โดยเหลือเพียง 9,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 362,600 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศภายในเวลา 45 วัน

สอดคล้องกับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดทุนพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว รวมถึงปัจจัยการเมืองที่มีความเสี่ยงสูงและไม่แน่นอนสูงซึ่งจะกระทบต่อผลการเจรจาขอกู้ยืมเงินช่วยเหลือและแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ

ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า ส่วนต่างความเสี่ยงพันธบัตรของปากีสถานสูงเกิน 10% หรือเทียบเท่ากับ 1,000 เบซิสพ้อยท์ (1,000 bsp) โดยพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 18.1% ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความเป็นไปไม่ได้สูงมากที่รัฐบาลปากีสถานไม่มีความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ให้เจ้าหนี้ต่างประเทศ

ทั้งนี้ การเจรจากู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟที่ยังค้างอยู่กับรัฐบาลปากีสถานมีมูลค่า 1,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 43,290 ล้านบาท หากการเจรจาดำเนินการต่อ และประสบความสำเร็จ จะทำให้มูลค่าเงินกู้ในภาพรวมจากไอเอ็มเอฟเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 259,000 ล้านบาท จากเดิมที่อยู่ในกรอบ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 222,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อตกลงตั้งแต่ปากีสถานขอกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟเมื่อปี 2019 เป็นต้นมา