สมาคมนักวิเคราะห์ฯดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 63 อยู่ที่ 1,300 จุด

538
0
Share:

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในไตรมาส 4 ของปี 2563 นี้ จากบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 16 แห่ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 5 แห่ง และบริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 แห่ง ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
.
สมมติฐานด้าน GDP ในปีนี้ มีค่าเฉลี่ยการขยายตัวที่ -7.81%
ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 3.91%
.
ทางด้านราคาน้ำมัน ผู้ตอบแบบสอบถามได้ปรับใช้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปี 2563 ที่ 40.42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้
• 35 – 39.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 38.10
• 40 – 44.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 52.38
• 45 – 49.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 9.52
.
สำหรับปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2563 ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ผู้ตอบแบบสำรวจ 68.18% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 54.55% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีปัจจัยใดที่มีผู้ตอบถึง 50% ที่ระบุว่าเป็นบวก
.
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในไตรมาส 4 ของปี 2563 ได้แก่ ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ 100% รองลงมา คือปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ เป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวต 70% ขึ้นไป รองลงมาสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจภายในประเทศ และ Fund Flow จากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย 68.18% ตามลำดับ
.
เป็นที่น่าสังเกตุว่าทิศทางดอกเบี้ยในประเทศนั้นผู้โหวตส่วนใหญ่มองว่าไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในไตรมาส 4 โดยมีผู้โหวตเพียง 40.91% ที่มองว่าเป็นปัจจัยบวก แต่ไม่มีผู้ตอบที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ
.
ส่วนข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้นโยบายการคลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อ จำนวนร้อยละ 60 ของผู้ตอบ ได้แก่ ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ช่วยเหลือผู้ว่างงาน และกระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการช้อปช่วยชาติ ฯลฯ ทั้งนี้มีผู้ตอบร้อยละ 35 ที่เสนอให้เร่งโครงการลงทุนภาครัฐ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน
.
ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์คาดการณ์คงที่ ในไตรมาส 4 ของปี 2563 ร้อยละ 81 ของผู้ตอบ และคาดว่าปรับลด 0.25% ร้อยละ 19 ตามลำดับ
.
คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 57.36 บาท ลดจากการสำรวจครั้งก่อน 65.44 โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้

• 50 – 54.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 23.53
• 55 – 59.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 58.82
• 60 – 64.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 11.76
• 65 – 69.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 5.88
.
EPS Growth ของงบปี 2563 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -37 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
• -20 ถึง -29.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.11
• -30 ถึง -39.99 มีผู้ตอบร้อยละ 66.67
• -40 ถึง -49.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.11
• -50 ถึง -59.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.11
.
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2563 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 จุด ซึ่งน้อยกว่าผลสำรวจของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,383 จุด
.
ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำ ให้มีเงินสดร้อยละ 20 ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ร้อยละ18 ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย ร้อยละ 21 รองลงมา ลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ร้อยละ 20 ตามมาด้วย การแบ่งเงินลงทุนไว้ในทองคำ ร้อยละ 10 และ กองทุนอสังหา/REIT ร้อยละ 10 ตามลำดับ