สหภาพยุโรปสอบสวนรถไฟฟ้านำเข้าจากจีน อาจเป็นโอกาสของไทยผลิต-ส่งออกรถอีวี 10,000 คัน

323
0
Share:
สหภาพยุโรปสอบสวนรถไฟฟ้านำเข้าจากจีน อาจเป็นโอกาสของ ไทย ผลิต- ส่งออก รถอีวี 10,000 คัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนได้ขึ้นแท่นเป็นประเทศผู้ส่งออกรถยนต์สูงที่สุดในโลก โดยในนั้นเป็นสัดส่วนของรถ BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วนสูงถึงเกือบ 1 ใน 4 ซึ่งมีกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เป็นตลาดส่งออกสำคัญด้วยมีส่วนแบ่งกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออก BEV ของจีนในปี 2565 ซึ่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการนำเข้ารถ BEV จากจีน ได้ทำให้เกิดประเด็นข้อกังวลกับคณะกรรมาธิการยุโรปที่มองว่าการมาของรถ BEV จีนอย่างรวดเร็วนี้ อาจกระทบอุตสาหกรรมการผลิตรถ BEV ในอียูได้ เนื่องจากรถ BEV ที่นำเข้าจากจีนกินส่วนแบ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอียู จาก 8% ในปีนี้ อาจขยับเป็น 15% ในอีก 2 ปีข้างหน้า อีกทั้งปัจจุบันถ้าเทียบกับประเทศอื่น เช่น สหรัฐฯที่เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน 27.5% อินเดียเก็บจากจีนที่ 70% แล้ว อียูถือว่ายังเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีนน้อยมากแค่ 10% เท่านั้น

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปจึงได้เปิดประกาศการสอบสวนอย่างเป็นทางการกับรถ BEV นำเข้าจากจีนทุกยี่ห้อไม่จำกัดสัญชาติเรื่องที่อาจมีการรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ซึ่งอาจนำมำสู่มาตรการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การรอุดหนุน อย่างเร็วที่สุดคือเดือนกรกฎาคม 2567 ทั้งนี้เพื่อปกปัองอุตสาหกรรมการผลิตรถ BEV ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นในประเทศกลุ่มอียู ให้ได้มีช่วงเวลาเร่งพัฒนาธุรกิจตนเองให้แข่งขันได้ คล้ายกับที่ค่ายญี่ปุ่นเคยเผชิญกับมาตรการกำหนดโควต้านำเข้าเมื่อ 30 ปีก่อน โดยผลทางอ้อมที่อาจได้ คือ ทำให้ค่ายรถ BEV จีนเข้ามาตั้งฐานการผลิตในยุโรป ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมธุรกิจชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทานรถ BEV อีกทาง

อย่างไรก็ดี ระหว่างที่ค่ายรถ BEV จีนยังต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี หากจะขึ้นฐานการผลิตที่ยุโรป หากอียูออกมาตรการขึ้นภาษีต่อต้านการอุดหนุนออกมาจริง อาจกระทบต่อการส่งออกรถ BEV จากจีนไปยุโรปไม่มากก็น้อย ซึ่งผลกระทบต่อค่ายรถ BEV ที่นำเข้ามาจากจีนนั้น น่าจะไม่เท่ากันจากเงินอุดหนุนที่ได้จากรัฐบาลจีนที่ไม่เท่ากัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาตั้งขายรถ BEV ในยุโรปที่มากน้อยต่างกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าน่าจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) กลุ่มที่ตั้งราคาถูกกว่าตลาดส่วนใหญ่ในรุ่นเดียวกัน
ค่อนข้างมาก ซึ่งกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง ทำให้มีแนวโน้มต้องปรับราคาขึ้น และถึงแม้จะเพิ่มราคาแล้วแต่ต้นทุนที่สูงขึ้นมากจากภาษี อำจทำให้ต้องพิจารณาหาแหล่งผลิตอื่นส่งออกไปขายในตลาดยุโรปทดแทน

และ (2) กลุ่มที่ตั้งราคาสูงไม่ต่างกับรถ BEV ส่วนใหญ่ในรุ่นเดียวกันของค่ายยุโรป คาดว่าจะโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราต่ำกว่า ทำให้พอจะใช้วิธีปรับขึ้นราคาบางส่วนและแบกรับต้นทุนไว้เองบางส่วน เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันในตลาด โดยยังคงนำเข้าจากจีนเช่นเดิมได้

สำหรับไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจากกกรณีนี้ ไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์ โดยค่ายจีนที่ได้รับผลกระทบแล้วมีการลงทุนในไทยด้วยอาจส่งออกรถ BEV รุ่นเดียวกันที่ผลิตในไทยไปยังตลาดยุโรปทดแทน

อย่างไรก็ดี เนื่องจากต้นทุนการผลิตในไทยอาจสูงกว่าผลิตในจีน เพราะค่ายรถจีนเพิ่งจะเริ่มเดินสายการผลิตในไทยปีหน้า ทำให้ยังไม่ถึงจุดที่ได้ Economies of scale จึงอาจทำให้ไทยได้โอกาสส่งออกทดแทนไปยุโรปแค่บางส่วน

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคำว่าในจำนวนกำลังการผลิตรถ BEV ปี 2567 ของค่ายจีนในไทยที่น่าจะทำได้ไม่น้อยกว่ำ 70,000 คันนั้น มีโอกาสที่จะส่งออกไปตลาดยุโรปราว 10,000 คัน ซึ่งแม้จะยังน้อยหรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 8% ของยอดขายรถ BEV ค่ายจีนทั้งหมดในยุโรปที่อาจขายได้ไม่ต่ำกว่า 130,000 คันในปีหน้า แต่ก็จะนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการส่งออกรถ BEV จากไทยไปยุโรป

อย่างไรก็ดี ตัวเลขคาดการณ์ส่งออกมีโอกาสต่ำกว่าที่คาดได้ หากคำตัดสินออกมาล่าช้า ซึ่งอาจทำให้กว่าจะเริ่มเก็บภาษีรถ BEV นำเข้าจากจีนได้เป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ไปแล้ว หรือมีประเด็นที่ส่งผลต่อทิศทางการตัดสินของคณะกรรมาธิการยุโรปที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะจากความเห็นที่ยังไม่ลงรอยกันเองในกลุ่มประเทศอียูต่อแนวทางการเก็บภาษีต่อต้านการอุดหนุนดังกล่าว และยังมีกรณีที่จีนอาจมีมาตรการตอบโต้ออกมาที่อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถ BEV ในยุโรป เนื่องจากจีนครองตลาดห่วงโซ่อุปทานการผลิตแบตเตอรี่อยู่