หอการค้าเผยคนไทยแบกหนี้ครอบครัวละ 5.59 แสน สูงสุดใน 15 ปี กว่า 54% หนี้สูงกว่ารายได้

273
0
Share:
หอการค้าไทย เผยคนไทยแบก หนี้ ครอบครัวละ 5.59 แสน สูงสุดใน 15 ปี กว่า 54% หนี้สูงกว่ารายได้

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2566 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่าหนี้ครัวเรือนล่าสุดสะท้อนปัญหาของหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบ ต่อเนื่องมาจากวิกฤตสงครามการค้าในปี 2562 วิกฤตโควิดในปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงปี 2564 จนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวแต่ยังถือว่าฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น เมื่อรวมกับปัจจัยในเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้รายจ่ายของครัวเรือนเพิ่มขึ้นจนต้องมีการกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย

โดยครัวเรือนที่มีหนี้ในปีนี้อยู่ที่ 99.8% และครัวเรือนที่ไม่มีหนี้มีเพียง 0.2% ขณะที่วงเงินที่ครัวเรือนมีหนี้โดยเฉลี่ยถือว่าสูงที่สุดในรอบ 15 ปี โดยมีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 559,408.7 บาทต่อครัวเรือน มีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระเฉลี่ยที่ 16,742 บาทต่อเดือน โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ในระบบ 80.2% และหนี้นอกระบบ 19.8% โดยกลุ่มตัวอย่างกว่า 31.2% ระบุว่าในปัจจุบันเป็นทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ มีครัวเรือนที่มีรายได้น้อกว่ารายจ่ายถึง 65.8% ขณะที่อีก 32% บอกว่ามีรายได้และรายจ่ายเท่ากัน ส่วนครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่ารายจ่ายนั้นมีเพียง 2.2% ซึ่งรายได้ที่น้อยกว่ารายจ่ายทำให้มีแนวโน้มที่จะกู้ยืมเงินเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ครัวเรือนที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายในปัจจุบันประมาณ 41.7% ระบุว่าจะมีการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย โดยมีแหล่งเงินที่ตัดสินใจกู้ยืมได้แก่ การกดเงินสดจากบัตรเครดิต 29.1% การกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ 18.8% ขณะที่ การกู้เงินจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 17.2% ที่เหลือตัดสินใจที่จะกู้ยืมเงินจากนายทุน 9.9% กู้เงินจากสหกรณ์ 9.4% และบริษัทที่ให้สินเชื่อ 8.9% และกู้ยืมจากญาติพี่น้อง 6.7% ซึ่งจะเห็นได้ว่าการกู้ยืมเงินหลายส่วนนั้นเป็นการกู้ยืมเงินในระบบซึ่งเพิ่มสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยให้สูงขึ้น

แนวโน้มที่ประชาชนจะยังมีการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลการสำรวจพบว่าประชาชนกว่า 60.4% มองว่าสถานการณ์ในอนาคตหนี้จะยังคงเพิ่มสูงกว่ารายได้ แต่ประชาชนบางส่วนกล้าที่จะกู้ยืมเงินมากขึ้นเพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ เช่น บ้าน และรถยนต์ บางส่วนก็มีการกู้ยืมเงินเพื่อขยายธุรกิจส่วนตัว

คาดว่าแนวโน้มของหนี้ครัวเรือนจะสูงขึ้นไปจนสุดในปี 2567 ก่อนที่จะค่อยๆปรับตัวลดลงแต่ช่วงกลางปี เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นชัดเจน การท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง ประกอบกับเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากโอกาสที่เกิดขึ้น ภายหลังที่หลายประเทศประกาศงดส่งออกข้าวและสินค้าเกษตรบางชนิด ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยรายได้ในส่วนนี้ก็จะช่วยลดความจำเป็นในการกู้หนี้ยืมสินของประชาชนตั้งแต่กลางปีหน้า และภาพรวมของเศรษฐกิจการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไทยลดลง