เลิกดื้อๆเลย! หมอธีระวัฒน์ชี้มาเลเซียทยอยเลิกฉีดซิโนแวคทั้งที่เหลือสต๊อกกว่า 14 ล้านโดส
นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคในประเทศกลุ่มอาเซียน และการฉีดสูตรไขว้ที่มีวัคซีนซิโนแวคในไทย มีดังนี้
อินโดนีเซีย ยอมรับวัคซีน ซิโนแวค ในระยะหลัง กันตายได้ 79% จาก 95% ในระยะแรก และกันอาการหนักได้ 53% ตกจาก 74% ซึ่งด้อยลงมาก แต่ตามข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเกิดจากเดลต้าหรือไม่
ในประเทศไทย ไม่มีทางเลือกเนื่องจากวัคซีนอื่นไม่มี หรือมีไม่พอ ดังนั้น ต้องฉีดไปก่อน สำหรับประเทศมาเลเซียทางการประกาศจะค่อยๆ เลิกใช้วัคซีนซิโนแวค ในระบบการฉีดของประเทศ ที่เป็นทางการภายในเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้ยังมีวัคซีนซิโนแวคเหลือ 14 ล้านโดส
บทพิสูจน์ชัดเจนว่าถ้าชิโนแวค ที่สองเข็มไปแล้วเริ่มลดประสิทธิภาพลงในการป้องกันการติดเชื้อบุคลากรทางการแพทย์ก็จะแพร่เชื้อต่อไปให้ผู้ป่วย
ที่ หอผู้ป่วยแห่งหนึ่ง แผนกผ่าตัดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งมีการติดในหอผู้ป่วยไปยังผู้ป่วยหลายรายที่นอนอยู่นานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยที่กลับบ้านไปแล้วมีอาการของโควิดแล้วกลับมาใหม่
การคำนึงถึงสูตรวัคซีนไม่ใช่คิดถึงแต่ลดการตายอย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงผลกระทบในวงกว้างต่อเพื่อนร่วมงานในระบบบริการสาธารณสุขและที่แพร่ไปยังผู้ป่วย
การใช้สูตรชิโนแวค เชื้อตายซึ่งออกแบบให้การฉีดในระยะแรกเป็นสองเข็มแล้วจะทำให้เกิดผลในการป้องกันการติดและลดอาการหนักหรือเสียชีวิต
แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนเป็นชิโนแว็ค หนึ่งเข็มตามด้วยวัคซีนอื่น เป็นเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนนัก เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นเช่น แอสตร้า หรือไฟเซอร์โมเดนา ที่มีข้อมูลแม้หลังจากหนึ่งเข็มก็ตามจะสามารถมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและอาการหนักได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้นการใช้ชิโนแวคเข็มแรกตามด้วยแอสตร้าเข็มที่สองจึงมีข้อกังวลว่าทำไมไม่ใช้แอสตร้า สองเข็มไปเลย หรือแอสตร้าหนึ่งเข็ม ตามด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ที่มีการใช้แล้วและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
และข้อมูลในวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ก็แสดงว่าแอสตร้าสองเข็ม หรือไฟเซอร์โมเดอร์นาสองเข็ม แม้ว่าประสิทธิภาพต่อเดลต้าจะลดลงบ้างแต่ยังพอไหว แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองวัคซีนดังกล่าวเมื่อพ้นหกเดือนภูมิก็ลดลงและเริ่มมีการติดใหม่
ถ้ามีปัญหาเกี่ยวข้องกับจำนวนของวัคซีนแต่ละยี่ห้อที่จะหามาได้ และไม่สามารถทำได้ อาจจะต้องอธิบายตามข้อจำกัดดังกล่าวมากกว่า ซึ่งประชาชนจะได้เข้าใจถึงความจำเป็นดังกล่าว
การดูผลกระทบของวัคซีนที่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ในบุคลากรที่ต้องดูแลผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่อ้างแต่เพียงว่าติดเชื้อไปไม่ถึง 1000 ในที่ฉีดไปเป็นจำนวนมาก
ต้องถามว่าที่ติดไปโดยไม่มีอาการและไม่รู้ว่าตัวเองติดและแพร่ไปให้คนอื่นมีมากมายเพียงใดและอาการหลังจากติดแล้วแม้ได้รับวัคซีนนั้นจะเพิ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงอย่างรวดเร็วและตามสายพันธุ์ใหม่ที่เข้ามามีมากเพียงใด แต่คงไม่ใช่ไขว้ไปมาจากอะไรกันแน่ และจะเป็นเรื่อง วัคซีน ขบขัน หรรษาในที่สุด