แบน 3 สารต้นทุนพืชเศรษฐกิจพุ่ง 5 – 10 เท่า

718
0
Share:

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเซต ว่า ทางกรมปศุสัตว์ได้แสดงความกังวลถึงผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องหลังจากการแบนสารทั้ง 3 ชนิด โดยอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง ข้าวสาลี ที่เป็นวัตถุดิบหลักของอาหารสัตว์ จากประเทศที่ยังมีการใช้ 3 สารดังกล่าวอยู่WT
.
นอกจากนี้ ยังจะส่งผลให้ประเทศผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ และส่งออกมายังไทยเช่น บราซิล สหรัฐ ยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก หรือWTO หากไทยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็อาจจะใช้วิธีการตอบโต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับอาหารและอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ทั้งระบบ มูลค่านับล้านล้านบาท
.
ดังนั้นที่ประชุมจึงให้กระทรวงเกษตรฯ ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ สาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมรับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยควรวิเคราะห์ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ที่สำคัญกระทรวงพาณิชย์ ต้องตรวจสอบดูแลร้านค้า และออนไลน์ที่ขายสารเคมีด้านการเกษตรในระหว่างนี้ไม่ให้ขึ้นราคา หลอกขายสารเคมีตัวใหม่ที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ควบคุมราคาสารเคมีตัวใหม่ภายหลังจากวันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไปด้วย
.
เพราะมีความเป็นได้ที่ต้นทุนการผลิตพืชเศรษฐกิจทั้ง 6 ชนิด คือ อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ จะเพิ่มขึ้นจากสารเคมีตัวใหม่ประมาณ 5-10 เท่าตัว โดยแต่ละสินค้าจะมีต้นทุนที่ต่างกันออกไป แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกษตรทั้งรายใหญ่และรายย่อยนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้แนวทางชดเชยเยียวยา ในขั้นตอนต่อไป โดยจะสนับสนุนทำแปลงใหญ่ ใช้เทคโนโลยี เครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำที่สุด ซึ่งพืชทั้ง 6 ชนิดมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเพื่อขอใช้สารก่อนหน้านี้ 1.7 ล้านราย แต่อาจไม่ได้รับผลกระทบทั้งหมด
.
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุมให้กรมวิชาการเกษตรเข้มงวดเรื่องการลักลอบการนำเข้าสารทั้ง 3 ชนิดภายหลังวันที่ 1 ธ.ค.นี้ด้วย เนื่องจากการนำมาใช้หรือมีไว้ในครอบครองจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนสารเคมีที่ค้างในสต๊อกขณะนี้ตามรายงานพบว่ามีทั้งสิ้น 2-3 หมื่นตัน คาดว่าในวันที่ 1 ธ.ค. จะเหลืออยู่ประมาณ 200 ตัน จากปริมาณการนำเข้าประมาณปีละ 1.7 แสนตัน