YOUNG@HEART SHOW : รู้ทันโรค “งูสวัด”

Share:

          โรคงูสวัดเดี๋ยวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น วัยรุ่น-วัยทำงานก็สามารถเป็นงูสวัดได้ มักเกิดขึ้นกับที่ทำงานหนัก มีความเครียด นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ วันนี้เราจะมาดูกันมาทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ใครทำงานหนักมากๆ ถ้าไม่อยากเป็นงูสวัดจะได้ดูแลตัวเองเยอะๆ ค่ะ งูสวัดเกิดขึ้นได้ยังไงไปดูกันเลย

 

โรคงูสวัด

          งูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับอีสุกอีใส มีชื่อเรียกว่า ไวรัสวาริเซลลา (Varicella Virus) เมื่อหายจากอีสุกอีใสแล้วเชื้อนี้ก็จะยังซ่อนอยู่ในปมประสาท รอวันที่ร่างกายอ่อนแอ และภูมิคุ้มกันต่ำ โรคก็จะแสดงอาการออกมาค่ะ

 

อาการของโรคงูสวัด

          มีอาการแสบร้อนที่ผิวหนัง เป็นผื่นแดง และเป็นตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นเป็นแถบๆ ตามแนวเส้นประสาท เมื่อแผลแห้งก็จะตกสะเก็ดค่ะ ตอนที่เป็นอยู่จะเจ็บแผล ปวดแสบปวดร้อนมากๆ ควรไปหาหมอเพื่อรักษา ยิ่งไปเร็วยิ่งดีค่ะ

 

ภาพจาก treatthai.com

 

อาการแทรกซ้อน

          โรคงูสวัดมักมีอาการแทรกซ้อน ได้แก่ การปวดปลายประสาทหลังเป็นงูสวัด จะปวดบริเวณที่เป็นผื่น แม้ผื่นจะหายแล้วก็ยังปวดอยู่ และอาจเป็นปวดนานหลายสัปดาห์ บางคนเป็นปีแล้วก็ยังปวดอยู่ค่ะ ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน

 

การรักษาโรคงูสวัด

          1. ทานยาต้านไวรัส ก็จะช่วยลดความรุนแรง และลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนได้ ดังนั้นควรรีบไปหาหมอภายใน 48-72 ชม. ที่มีอาการงูสวัด

          2. หลังจากรับยาต้านไวรัสแล้ว แพทย์ก็จะรักษาตามอาการต่อไป เช่น ถ้ามีอาการปวดก็ทานยาพาราเซตามอล และถ้ามีแผลที่ผิวหนังก็ล้างแผลตามปกติค่ะ

          *ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ ไม่ควรทานยาเองนะคะ จำไว้ว่าไปหาหมอเร็วเท่าไร ยิ่งเจ็บน้อยลงเท่านั้นค่ะ

 

 

วิธีป้องกันโรคงูสวัด

          ปัจจุบันในประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ซึ่งสามารถป้องกันได้ 69.8% และยังป้องกันโรคแทรกซ้อนหรืออาการปวดปลายประสาทหลังเป็นงูสวัดได้ถึง 66.5% ฉีดเข็มเดียวสามารถคุ้มกันได้ 10 ปี และวัคซีนจะทำงานได้เต็มที่หลังฉีดไปแล้ว 4 สัปดาห์ค่ะ ใครที่ยังไม่เคยฉีดก็ลองปรึกษาแพทย์ดูนะคะ

 

ใครที่คววรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด

          คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นควรฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะสามารถฉีดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีประวัติโรคอีสุกอีใสมาก่อน ยิ่งอายุมากก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคงูสวัดมากค่ะ ใครที่อายุยังไม่ถึง 50 ปี ก็ลองปรึกษาแพทย์ดูก่อนว่าฉีดได้หรือไม่ค่ะ 

          ทั้งนี้ก่อนฉีดควรบอกประวัติทางการแพทย์ให้ครบถ้วน เช่น ประวัติการแพ้อาหาร ประวัติการแพ้ยา ตั้งครรภ์ หรือมีโรคประจำตัวต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องค่ะ

 

          ใครที่ทำงานหนักมากๆ และไม่ดูแลตัวเองอาจทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถดถอยจนเกิดเป็นงูสวัดขึ้นมาได้ ดังนั้นต้องดูแลตัวเองเยอะๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นโรค เพราะงูสวัดเป็นแล้วเจ็บมากค่ะ และใครที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุเกิน 50 ปี ก็ควรพาท่านไปตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีนป้องกันด้วยนะคะ

 

 

ข้อมูลจาก: siphhospital.com | bumrungrad.com

Young@Heart Show