เพราะไว้ใจไม่ใส่ถุงยางอนามัย..โรคจึงมาเยือน

Share:

          รู้หรือไม่ว่าวัยรุ่น อายุ 15-24 ปี มีแนวโน้มติดโรคทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม และติดเชื้อ HIV จากการสำรวจของกรมอนามัย ในปี 2561 เพราะความรักและไว้ใจคู่นอนจึงไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจไม่น้อย ถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนความคิดการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การไม่ป้องกันต่างหากที่ผิด วันนี้ Young @Heart Show จะพาไปรู้เท่าทันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ว่าเหตุใดจึงต้องป้องกัน

ที่มา : www.pexels.com

          โรคซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสแผลของผู้ป่วย ซึ่งอาการระยะแรกจะมีแผลที่อวัยวะเพศ เป็นขอบแข็ง ไม่เจ็บ ถ้าไม่ได้รับการรักษาแผลจะสามารถหายได้เอง แต่อาการของโรคจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะมีผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือฝ่าเท้า ทวารหนัก ช่องปาก ผมร่วง และปวดข้อ ถ้ายังไม่ได้รักษาอีก โรคจะเข้าสู่ระยะสงบ ไม่มีอาการ จนเข้าสู่ระยะสุดท้ายจะมีอาการผิวหนังเป็นก้อนนูนแตกเป็นแผล กระดูกอักเสบ ตาบอด หูหนวก สมองพิการ เส้นเลือดใหญ่ที่หัวใจโป่งพอง รุนแรงถึงเสียชีวิตในที่สุด

ที่มา : www.pexels.com

          หนองในแท้ เกิดจากแบคทีเรียไนซ์ซีเรีย โกโนร์เรีย (Neisseria Gonorrhoeae) เชื้อสามารถเติบโตและเพิ่มจำนวนในเมือกเยื่อบุผิวของร่างกาย ได้แก่ ปากมดลูก มดลูก ท่อนำไข่ และท่อปัสสาวะ รวมถึงบริเวณปาก ลำคอ และทวารหนัก มักแสดงอาการภายในประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ โดยในผู้ชายจะมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีหนองข้นไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ ส่วนในผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เช่น ตกขาว หากไม่ได้รับการรักษาโรคจะลุกลามเกิดเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบ ท่อรังไข่ตีบตัน ท่ออสุจิตีบตัน ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นหมัน ผื่นขึ้นตามลำตัวและเยื่อบุ ปวดตามข้อ

ที่มา : www.pixabay.com

          หนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลามัยเดียทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) เชื้อสามารถแพร่และติดต่อได้หลายทาง เช่น ทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก ทางปาก หรือแม้กระทั่งทางตา หากมีสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อกระเด็นใส่ รวมไปถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ สังเกตอาการได้จากการปัสสาวะแสบขัด มีหนองใสไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ บางรายอาจไม่มีอาการ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาโรคจะลุกลามเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในลักษณะเดียวกับโรคหนองในแท้

ที่มา : www.pixabay.com

          เริม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) สามารถติดต่อกันระหว่างคนสู่คนได้โดยผ่านทางการสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทางน้ำลาย น้ำเหลือง หรือผ่านทางเพศสัมพันธ์ อาการที่สังเกตได้คือมีตุ่มน้ำใสขึ้นเป็นกลุ่ม ร่วมกับอาการปวด แสบ และคันบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก บางรายมีตุ่มน้ำใสขึ้นที่ริมฝีปาก ในช่องปาก เมื่อมีการติดเชื้อเริมแล้วเชื้อจะหลบอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอจะสามารถทำให้เกิดโรคเริมกำเริบขึ้นได้

ที่มา : www.pexels.com

          เอชพีวี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา (Human Papillomavirus : HPV) แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงหรือการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ก่อน แต่หากมีอาการจะแสดงออกมาใน 2 ลักษณะคือ อาการหูดหงอนไก่ มีลักษณะเป็นก้อนหรือติ่งเนื้อ ผิวขรุขระ และไม่เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก และอาการของโรคมะเร็งได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ

ที่มา : www.pexels.com

          เอชไอวี เกิดจากการติดเชื้อ (Human Immunodeficiency Virus: HIV) เป็นเชื้อไวรัสที่เข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกาย ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและเชื้อไวรัสได้ จนระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง หากไม่ได้รับการรักษาในระยะแรกที่ได้รับเชื้อ ก็จะส่งผลให้เกิดโรคเอดส์ ที่เป็นการป่วยขั้นสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยจะมีอาการปอดอักเสบ เหนื่อยหอบง่าย น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ท้องเสียเรื้อรัง เป็นไข้ซ้ำ ๆ เหงื่อออกตอนกลางคืน เกิดผื่นคันตามผิวหนังเกิดฝ้าขาวและเป็นแผลในช่องปาก ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้และขาหนีบบวมโต และอาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้ เช่น วัณโรค เชื้อราในปอด เชื้อราในเยื่อหุ้มสมองและนำไปสู่การเสียชีวิต

ที่มา : www.pexels.com

          ความน่ากลัวและรุนแรงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เราสามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันได้ ดังนี้ 1.การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ 2. ไม่เปลี่ยนคู่นอน 3.รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะเพศทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ 4.ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในกลุ่มที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย 5.หากติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องและงดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างนี้ นี่ก็เป็นวิธีการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เรานำมาฝากกันค่ะ สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากไว้ว่าถ้ารักกันต้องป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อมูล https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30192
https://www.pobpad.com/
https://ddc.moph.go.th/
https://www.vejthani.com/
https://www.pidst.or.th/A732.html

Young@Heart Show