YOUNG@HEART SHOW : รู้ทันโรค “ตุ่มน้ำพอง” ภัยใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน

          รู้ทันโรควันนี้มารู้จัก “โรคตุ่มน้ำพอง” กันนะคะ โรคนี้ไม่ใช่โรคหายาก มีอัตราการเกิด 3 ใน 1 แสนคน และมักเกิดกับผู้สูงอายุ เป็นโรคที่ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่เรื้อรัง ใช้เวลานานกว่าจะหาย ทำให้ผู้ป่วยทรมาน และอาจติดเชื้อได้ง่าย โรคนี้จะมีสาเหตุมาจากอะไรไปดูกันเลยค่ะ

Photo by Ximena Mora from Pexels

          โรคตุ่มน้ำพอง หรือ โรคเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ผิวหนังแท้กับหนังกำพร้าแยกตัวออกจากกัน และพองขึ้นมาเป็นตุ่มน้ำ มีอาการเจ็บ แสบร้อนตามผิวหนังทั่วร่างกาย เป็นทั้งตัวแม้กระทั่งในปาก เมื่อมีแผลพุพองรอบตัว ก็จะทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

          อีกโรคหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกันคือ โรคเพมฟิกัส (Pemphigus) เป็นการแยกตัวของผิวหนังชั้นที่ลึกกว่า ทำให้มีอาการรุนแรงกว่าโรคเพ็มฟิกอยด์ค่ะ

โรคตุ่มน้ำพองเกิดจาก

ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อโปรตีน ที่ช่วยยึดหนังกำพร้ากับหนังแท้ไว้ด้วยกัน ทำให้ผิวหนังแยกออกจากกัน เกิดเป็นตุ่มน้ำพองขึ้นมา

ภาพจาก www.pcds.org.uk

อาการของโรค

เริ่มแรกจะมีอาการแดงอักเสบ รู้สึกแสบร้อนที่ผิวหนัง จากนั้นจะมีตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นตามผิวหนัง ตุ่มจะหนา เต่งตึง ไม่แตกง่าย อาจมีอาการคันร่วมด้วย เมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะเป็นแผลตกสะเก็ด มีโอกาสเป็นตุ่มน้ำในปาก 20% – 30% เมื่อเป็นแล้วก็จะทำให้กลืนอาหารได้ยากค่ะ

วิธีการรักษา

ถ้ามีอาการไม่มากแพทย์จะให้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ แต่ถ้าเป็นหนักแพทย์ก็จะให้ยาสำหรับทานกลุ่มสเตียรอยด์เช่นกัน และรักษาตามอาการอื่นๆที่เป็นร่วมค่ะ ถ้าโรคแสดงอาการเมื่อไรให้รีบพบแพทย์โดยด่วน รักษาก่อนที่จะเป็นหนักนะคะ อย่าซื้อยาทานเองล่ะ

Photo by it’s me neosiam from Pexels

          โรคตุ่มน้ำพองยังหาสาเหตุที่ทำให้เป็นแน่ชัดไม่ได้ ไม่ได้เกิดจากการทำงานหนัก แพ้อาหาร หรือพักผ่อนน้อยแต่อย่างใด และไม่ใช้โรคติดต่อ ขอให้คนใกล้ชิดผู้ป่วยไว้ใจได้ แต่เวลาไปเยี่ยมผู้ป่วยอาจจะต้องระวัง ไม่นำพาเชื้อโรคไปทำให้แผลของผู้ป่วยอักเสบเพิ่มค่ะ

          วิธีการป้องกันตนเอง ก็คือเมื่อโรคแสดงอาการให้รีบไปหาหมอให้เร็ว นอกจากนี้ก็ดูแลสุขภาพของตนเองตามปกติ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ