วัคซีนสำคัญที่เราควรฉีด

Share:

          นาทีนี้ทั่วโลกกำลังรับมือกับการระบาดของโควิด-19 การได้รับวัคซีนโควิดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และลดการติดเชื้อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน แต่นอกจากวัคซีนโควิด-19 แล้วนั้น ยังมีวัคซีนที่สำคัญอีกหลายชนิดที่เราควรจะฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ห่างไกลโรคต่างๆ ที่ไม่ควรละเลย วัคซีนที่เราควรจะฉีดนั้นจะมีอะไรบ้าง และหากได้รับวัคซีนโควิด -19 แล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร วันนี้ Young @Heart Show จะมาแนะนำกันค่ะ

ที่มา : pixabay.com

          มาเริ่มกันที่วัคซีนตัวแรกเลยคือ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพราะทุกปีมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก โดยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 36,976 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วย หรืออาจถึงเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ความสำคัญของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นมีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา และจีนพบว่าผู้ติดเชื้อโควิด 19 มากกว่าร้อยละ 60 จะมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอร่วมด้วย โดยหากผู้ป่วยติดเชื้อ 2 โรคนี้พร้อมกันจะเพิ่มความรุนแรง และมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น การได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงมีช่วยลดความรุนแรงนี้ได้ ควรฉีดปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคไต โรคเลือด รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

ที่มา: โรงพยาบาลศิครินทร์

          ต่อมาคือ วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ถึงแม้ว่าโรคงูสวัดเมื่อเป็นแล้วจะสามารถหายเองได้ แต่ก็มีความเสี่ยงจากอาการหรือโรคแทรกซ้อนระหว่างที่เป็น สำหรับผู้ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดคือ ผู้ที่เคยเป็นงูสวัดมาก่อน และผู้ที่มีอายุตั้งแต่60 ปี ขึ้นไป ทั้งนี้วัคซีนสามารถป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วง 5 ปีแรก แนะนำฉีดเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องมีการฉีดกระตุ้นซ้ำ

ที่มา : pixabay.com

          และวัคซีนอีกหนึ่งชนิดที่อยากแนะนำคือวัคซีนที่ช่วยป้องกันในเรื่องของการติดเชื้อปอดอักเสบ นิวโมคอคคัส ซึ่งการติดเชื้อชนิดนี้สามารถพบได้ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ในคนทั่วไป อาการมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีโอกาสที่จะทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ ซึ่งวัคซีนที่ควรฉีดคือ วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 1 ปี และควรห่างจากการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างน้อย 1 เดือน สำหรับผู้ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบคือ ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

ที่มา : pixabay.com

          วัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน ถึงแม้ว่าทุกคนจะได้ฉีดวัคซีนนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กตามระบบของสาธารณสุขแล้ว แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ที่มีผู้ที่ติดเชื้ออยู่ เนื่องจากตัววัคซีนชนิดนี้นั้นจะมีฤทธิ์อยู่ประมาณ 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ฉีด หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะค่อยลดลงเรื่อยๆ จึงควรฉีดวัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน 1 เข็ม ทุกๆ 10ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 11 ปีขึ้นไป

ที่มา : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

          วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มใสตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการไอจาม ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ โดยผู้ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสคือ ผู้ที่ไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน และไม่เคยเป็นอีสุกอีใส โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 สัปดาห์ หรืออย่างน้อย 6 สัปดาห์ดีที่สุด

ที่มา : pixabay.com

          วัคซีนวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ โดยฉีดเพียง 1 เข็มสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ผู้ประกอบอาหาร กลุ่มชายรักชาย ผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine)

          นอกจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ แล้ว ยังควรฉีด วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ด้วยเพราะเป็นโรคที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังนำไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ แนะนำฉีดวัคซีนประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคนี้ ได้แก่ ผู้ติดยาเสพติด รักร่วมเพศ ผู้ป่วยโรคไตที่ทำการฟอกไต ผู้ป่วยที่รับเลือดบ่อย ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โดยฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ห่างครั้งแรก 1-2 เดือน ครั้งที่ 3 ห่างครั้งแรก 6 เดือน

ที่มา : pixabay.com

          สุดท้ายเป็นวัคซีนที่ผู้หญิงทุกคนและกลุ่มคนชายรักชายควรฉีดนั่นก็คือ วัคซีนมะเร็งปากมดลูก เพราะ มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับสองในผู้หญิงจากการติดเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ และนอกจากนี้เชื้อ HPV ยังทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งในช่องปากและคอได้ ซึ่งสามารถรับเชื้อไวรัสได้จากการมีสัมพันธ์ และการมีเพศสัมพันธ์ด้วยปากพบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกนั้น สำหรับผู้หญิงควรฉีดในอายุ 9-26 ปี และผู้ชายควรฉีดในอายุ9-21 ปี ผู้ชายที่อายุมากว่า 21 ปี สามารถรับวัคซีนได้หลังปรึกษาแพทย์ โดยการฉีดจะแบ่งเป็นอายุ 9-14 ปีฉีด 1 เข็ม 2 ครั้ง (เดือนที่ 0, 6-12) และ อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ฉีด 1 เข็ม 3 ครั้ง (เดือนที่ 0, 2, 6)

ที่มา : pixabay.com

          เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวัคซีนป้องกันโรคแต่ละชนิดที่ Young @Heart Show ได้นำมาฝากกัน ดูตามช่วงอายุและความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตของเรา หรือ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำในการฉีดวัคซีนแต่ละชนิดนะคะ ที่สำคัญถ้าหากเพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคชนิดต่างๆ เมื่อฉีดวัคซีนแล้วก็อย่างลืมดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอและทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นะคะ เพียงเท่านี้ก็ห่างไกลจะโรคต่างๆแล้วค่ะ

สามารถติดตามเรื่องราวสุขภาพดีๆได้ที่ Young @Heart Show
ตอน วัคซีนสำคัญที่ควรฉีด

Young@Heart Show